รมว.ศธ.กล่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการจะกระจายอำนาจไปยังสถานศึกษามากขึ้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องมีบทบาทมากขึ้นทั้งด้านวิชาการ การบริหารจัดการ การบริหารงานบุคคล โดยเฉพาะการแยกประถม-มัธยมศึกษา ได้แยกการบริหารงานบุคคลและงบประมาณออกจากกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการบริหารงานบุคคลนั้น เดิมเป็นหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา แต่หลังจากวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ กฎหมายใหม่จะมีผลบังคับใช้ที่จะแยกเป็น อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งดูแลโรงเรียนประถมศึกษา ๑๘๕ เขต และ อ.ก.ค.ศ.กลุ่มมัธยมศึกษา ๔๑ กลุ่ม ซึ่งจะดูแลโยกย้ายผู้บริหารในแต่ละกลุ่มของตัวเอง โดยจะมีคณะกรรมการกลั่นกรองขึ้น ๒ คณะ คือ คณะกรรมการกลั่นกรองชุดประถมศึกษา ๑ ชุด มี ผอ.สพท.เป็นประธาน และในส่วนของมัธยมศึกษานั้น ในแต่ละกลุ่มจังหวัดก็จะมีตัวแทนของ สพฐ.เป็นประธาน และประธานกลุ่มมัธยมศึกษาเป็นเลขานุการ
นอกจากนี้ ประเด็นด้าน คุณภาพ โอกาส และการมีส่วนร่วม" ทั้ง ๓ ข้อนี้เป็นเป้าหมายของการปฏิรูปการศึกษารอบสอง สำหรับนโยบายของรัฐบาลที่จะสอดคล้องกับการเป็นโรงเรียนเยี่ยมนั้น ขณะนี้ ศธ.ได้มีโครงการพัฒนาโรงเรียน ๓ ดี ในโรงเรียน ๓ ระดับ จำนวน ๑๐,๐๐๐ โรงทั่วประเทศ คือ
๑) พัฒนาโรงเรียนระดับชาติหรือระดับสากลให้มีคุณภาพ ๕๐๐ โรงทั่วประเทศ
๒) พัฒนาโรงเรียนดีระดับอำเภอ โดยจะได้พัฒนาโรงเรียนดีใกล้บ้านหรือโรงเรียนในฝัน โดยตั้ง เป้าไว้ที่ ๒,๕๐๐ โรงเป็นอย่างน้อย
๓) พัฒนาโรงเรียนดีประจำตำบล อย่างน้อยตำบลละ ๑-๒ โรง โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอย่างน้อย ๗,๐๐๐ โรง
สำหรับเกณฑ์ของโรงเรียน ๓ ดี คือ จะต้องมีการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการ จะต้องมีปัจจัยพื้นฐานที่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีห้องสมุด ๓ ดี คือหนังสือดี บรรยากาศดี และบรรณารักษ์ดี นอกจากนี้จะต้องมีสัดส่วนคอมพิวเตอร์ต่อนักเรียนมากขึ้น มีการนำอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเข้าไปถึงในโรงเรียน ตลอดจนมีธรรมาภิบาล และระบบบริหารจัดการแบบใหม่
ดังนั้นเราจึงเห็นได้ว่า คุณภาพของโรงเรียนดีทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ ถือเป็นหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องมีความรู้ วิสัยทัศน์ ประสบการณ์ในการบริหาร มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน แต่ถ้าหากผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่เข้าใจนโยบายการทำงานอย่างถ่องแท้ชัดเจน ก็ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ และตัวผู้บริหารเองก็จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสถานศึกษาเอง
ไม่มีความเห็น