ตอนแรกตั้งใจจะเขียนเรื่องราวของผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยในประเทศไทย แต่เกรงว่าจะเขียนได้ไม่ดีนัก จึงขอเริ่มต้นด้วยหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัยในประเทศไทยก่อน โดยขอเริ่มที่สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง...
สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง
ความเป็นมา
ในปี 2518 ได้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในลาว เวียดนาม และกัมพูชาทำให้มีชาวอินโดจีนเกือบ 1 ล้านคน อพยพเข้ามาในประเทศไทยเพื่อหาที่พักพิงฯรัฐบาลไทยพิจารณาเห็นว่าปัญหาผู้อพยพเป็นเรื่องของมนุษยธรรม จึงอนุญาตให้ผู้อพยพพำนักอยู่ในประเทศไทยเป็นการชั่วคราวได้และในระหว่างรอการไปตั้งถิ่นฐานยังประเทศที่สามหรือส่งกลับมาตุภูมิโดยความสมัครใจ แต่ทั้งนี้จะต้องคำนึงถึงอธิปไตย ความมั่นคงและผลประโยชน์ชองชาติเป็นสำคัญ
คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2518 ให้จัดตั้งศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพโดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลัก ในการดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพที่หนีเข้ามาเนื่องจากวิกฤติการณ์การสู้รบจากความขัดแย้งทางการเมืองและการปกครองในกลุ่มประเทศอินโดจีนกระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดตั้งสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ ขึ้น โดยเป็นส่วนหนึ่งของกองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ต่อมาประมาณกลางเดือน สิงหาคม 2525 ได้ย้ายสำนักงานศูนย์ฯ มาอยู่ที่ บ้านพายัพ เลขที่ 167 ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ จนถึงปัจจุบัน[1]
การจัดองค์การ
ได้มีการจัดรูปแบบการบริหารออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
(1)คณะกรรมการศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพฯ
ทำหน้าที่เป็นฝ่ายอำนวยการ เพื่อให้การดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยผ่านสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพฯ
(2)สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพฯ
อำนาจหน้าที่และภารกิจ
สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่สำคัญดังนี้
1) ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวกับปัญหาผู้อพยพ และผู้หลบหนีเข้าเมือง
2) บริหารจัดการระบบควบคุมและสงเคราะห์ผู้อพยพ
3) ประสานองค์การระหว่างประเทศ
4) เสนอแนะประกอบการจัดทำนโยบาย
เมื่อสถานการณ์ผู้อพยพได้เปลี่ยนแปลง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ในอินโดจีนคลี่คลายลง แต่เกิดปัญหาในพม่า ทำให้มีผู้อพยพและผู้หลบหนีเข้าเมืองจากประเทศพม่าเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทั้งด้วยเหตุและผลการสู้รบ การเมือง และเศรษฐกิจ สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพจึงได้รับมอบหมายภารกิจเพิ่มขึ้น ต่อผู้หลบหนีการสู้รบจากประเทศพม่า และผู้หลบหนีเข้าเมืองที่เข้ามาเพื่อผลทางเศรษฐกิจ
ในปัจจุบัน กลุ่มผู้อพยพ ฯและผู้หลบหนีเข้าเมืองในความรับผิดชอบของสำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพฯ มีดังนี้
1. ผู้หลบหนีภัยการสู้รบจากพม่า
2. แรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ( พม่า กัมพูชา และลาว )
3. ชาวม้งลาว ( บ. ห้วยน้ำขาว อ. เขาค้อ จ. เพชรบูรณ์ )
ภารกิจหน้าที่หลังจากการปรับปรุงโครงสร้างระบบราชการ สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพ กระทรวงมหาดไทย มีภารกิจหน้าที่ด้านนโยบาย อำนวยการ และภารกิจหน้าที่ที่ได้ขอสงวนไว้ ส่วนภารกิจด้านการปฏิบัติเป็นหน้าที่ของกรมการปกครอง
เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้ลงนามในคำสั่ง คณะกรรมการร้อยกรองงานของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ 13/2546 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2546 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการควบคุมดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า โดยมี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน และผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ โดยมีหน้าที่ ศึกษาและติดตามสถานการณ์ปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า รวมทั้งเสนอแนะแนวทางและ/หรือ มาตรการปฏิบัติในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ประสานงานด้านนโยบายและเสนอแนะมาตรการ และ/หรือแนวทางปฏิบัติในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นให้เหมาะสม
วัตถุประสงค์และนโยบายการดำเนินการต่อผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า
รัฐบาลไทยได้กำหนด วัตถุประสงค์และนโยบายความมั่นคงแห่งชาติของไทยต่อพม่า (พ.ศ. 2546 - 2548) โดยกำหนดไว้ ดังนี้
(1)ให้พม่ามีความปรองดองในชาติมีการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมและอยู่ร่วมกับไทยอย่างฉันท์มิตร
(2)ให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปบนพื้นฐานของความเข้าใจ ความไว้วางใจ และความร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความมั่นคงร่วมกัน
(3)ไม่ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใช้ดินแดนไทยเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่า
(4)ให้บริเวณชายแดนไทย - พม่า มีความมั่นคงปลอดภัย โดยวัตถุประสงค์มี 3 ประการ คือ
1.) ส่งผู้หนีภัยการสู้รบฯ กลับมาตุภูมิ ให้มากที่สุด
2.) ให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศ อื่น ๆ และรัฐบาลพม่าเข้ามารับผิดชอบในการส่งผู้หนีภัยการสู้รบกลับพม่า
3.) ให้รับผู้หนีภัยฯ ที่เข้ามาใหม่เข้าพื้นที่พักพิงฯให้น้อยที่สุดและให้มีการควบคุมดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าในพื้นที่พักพิงชั่วคราวอย่างเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น
แนวทางแก้ไขปัญหา ได้กำหนดแนวทางดำเนินการเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาใน 8 เรื่อง ที่สำคัญ ดังนี้
1) การส่งกลับมาตุภูมิ
2) การควบคุมดูแล (จัดระเบียบ ลด /ปรับ ย้ายพื้นที่ ตรวจค้นอาวุธ ยาเสพติด และการลักลอบออกนอกพื้นที่)
3) การข่าว
4) การให้ความช่วยเหลือ / ด้านมนุษยธรรม
5) การดำเนินการต่อผู้หนีภัยที่เข้ามาใหม่ (สอบสวนแยกประเภท)
6) การอนุญาตให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าเดินทางไปประเทศที่สาม ( เฉพาะ-เหตุผลด้านมนุษยธรรม )
7) การประชาสัมพันธ์และการปฏิบัติการจิตวิทยา
8) การฟื้นฟูพื้นที่พักพิง ฯ
จำนวนพื้นที่พักพิงชั่วคราวและผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า รายละเอียดตามตารางดังนี้
จังหวัด |
พื้นที่พักพิงฯ |
จำนวน ผภร.(คน) |
ยอดรวมทั้งสิ้น(คน) |
หมายเหตุ |
กาญจนบุรี |
บ้านต้นยาง อำเภอสังขละบุรี |
3,453.- |
3,453 |
|
ตาก |
1. บ้านอุ้มเปี้ยม อำเภอพบพระ 2. บ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง 3. บ้านนุโพ อำเภออุ้มผาง |
13,398.- 32,567-. 10,570.- |
56,535.- |
|
แม่ฮ่องสอน |
1. บ้านใหม่ในสอย อำเภอเมืองฯ 2. บ้านแม่สุริน อำเภอขุนยวม 3. บ้านแม่ละอูน อำเภอสบเมย 4. บ้านแม่ลามาหลวง อำเภอสบเมย |
18,998.- 3,593.- 16,332.- 13,875.- |
52,798.- |
|
ราชบุรี |
บ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง |
4,921 |
4,921.- |
|
|
|
รวมทั้งสิ้น |
117,707.- |
|
(ข้อมูลเมษายน 2552)
ด้านการควบคุมดูแลผู้หนีภัยฯ
มท. มอบหมายให้ จังหวัด ในฐานะราชการส่วนภูมิภาค รับผิดชอบดูแลผู้หนีภัยฯ ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงฯภายในเขตจังหวัด และจัดระบบควบคุมในพื้นที่พักพิงฯ ควบคู่กับมาตรการรักษาความปลอดภัย การตรวจค้นยาเสพติดและอาวุธ รวมถึงการป้องกันการลักลอบออกไปขายแรงงานนอกพื้นที่พักพิงฯ การป้องกันผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา ตลอดจนความรู้สึกของราษฎรไทยที่อาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ พื้นที่พักพิงฯ เพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างผู้หนีภัยฯ กับราษฎรไทย และหากผู้หนีภัยฯ ลักลอบออกนอกพื้นที่พักพิงฯ จะต้องถูกดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมือง และหากกระทำผิดกฎหมายอื่นก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนั้น ๆ ก่อน แล้วจึงดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป
การอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายพื้นที่พักพิงฯ มท. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และอำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายพื้นที่พักพิงฯ ดังนี้
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายพื้นที่พักพิงฯ ประกอบด้วย
1) เพื่อความปลอดภัยของผู้หนีภัยฯ และครอบครัว
2) หลักเอกภาพในการรวมครอบครัว ตามหลักมนุษยธรรม
3) เหตุผลด้านการรักษาพยาบาล และเพื่อความปลอดภัยของเด็ก ผู้เยาว์ และกลุ่มผู้ที่ต้องการให้ความดูแลเป็นพิเศษ (EVI) ทั้งนี้ ควรอยู่บนพื้นฐานของความสมัครใจของผู้หนีภัยฯ
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายพื้นที่พักพิงฯ มีดังนี้
1) การอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายจากพื้นที่พักพิงฯ แห่งหนึ่งไปยังพื้นที่พักพิงฯ อีกแห่งหนึ่งภายในเขตจังหวัดเดียวกัน : ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีพื้นที่พักพิงฯ ตั้งอยู่ เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
2) การอนุญาตให้ผู้หนีภัยฯ ย้ายจากพื้นที่พักพิงฯ แห่งหนึ่งไปยังพื้นที่พักพิงฯ อีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัดกัน : ให้เป็นอำนาจของปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
3) การดำเนินการย้ายและงบประมาณในการขนย้ายผู้หนีภัยฯ ตามข้อ 1) และข้อ 2) ให้เป็นหน้าที่ของ UNHCR
ทั้งนี้ ให้รายงานผลการดำเนินการให้กระทรวงมหาดไทยทราบทุกครั้ง
ปัญหาที่เกิดจากผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า มีดังนี้
1) ปัญหารัฐบาลพม่าหวาดระแวงว่าประเทศไทยให้การสนับสนุน กลุ่มต่อต้านรัฐบาลพม่า
2) ปัญหากองกำลังต่างชาติล่วงล้ำอธิปไตยเข้าโจมตีและเผาพื้นที่พักพิงฯในเขตไทย
3) ปัญหาราษฎรไทยในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าและเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อทางการ โดยเห็นว่าผู้หนีภัยฯได้รับการช่วยเหลือดีกว่าราษฎรไทย
4) ปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าลักลอบออกนอกพื้นที่พักพิงฯ เพื่อหางานทำเนื่องจากพื้นที่พักพิงไม่มีแนวรั้วกั้นเขตที่แน่ชัด
5) ปัญหาการลักลอบค้ายาเสพติดในพื้นที่พักพิงฯ
6) ปัญหาการลักลอบนำอาวุธสงครามเข้าไปในพื้นที่พักพิงฯ และการต่อต้านรัฐบาลพม่าด้วยกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ
7) ปัญหาสถานที่ตั้งพื้นที่พักพิงชั่วคราว ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และหรือเขตอุทยานแห่งชาติ และที่ราชพัสดุ ที่ทหารขอใช้ประโยชน์ ทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศวิทยา
8) ปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ในการสนธิกำลัง เพื่อควบคุม / ดูแลผู้หนีภัยการสู้รบฯ ร่วมกับทหาร ตำรวจ และป่าไม้
9) ปัญหาการลักลอบเข้ามาอาศัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราว โดยไม่ผ่านกระบวนการ/ขั้นตอน
แนวทางแก้ไขปัญหา
กระทรวงมหาดไทยโดยสำนักงานศูนย์ฯ ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากผู้หนีภัยการสู้รบฯ ดังนี้
1) ดำเนินการลดจำนวนพื้นที่พักพิงชั่วคราวให้เหลือน้อยที่สุด และกำหนดให้พื้นที่พักพิงชั่วคราว อยู่ห่างจากชายแดนพอสมควร
2) ได้นำประเด็นปัญหาเกี่ยวกับผู้หนีภัยการสู้รบฯ หารือกับทางการพม่าทุกครั้งในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วม (JC) ว่าด้วยความร่วมมือไทย - พม่า
3) ได้ร่วมกับ UNHCR จัดโครงการนำร่องในการอบรมอาชีพแก่ผู้หนีภัยการสู้รบฯ และราษฎรไทยที่อาศัยอยู่รอบ ๆ พื้นที่พักพิงฯ โดยเริ่มดำเนินการจัดทำโครงการนำร่องตั้งแต่ปี 2545 ในพื้นที่พักพิงฯบ้านถ้ำหิน อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นแห่งแรก
4) ให้จังหวัดชายแดนไทย - พม่า ได้หยิบยกปัญหาการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบฯ ขึ้นมาเจรจากับฝ่ายพม่าทุกครั้งที่มีการประชุม รวมทั้งดำเนินการจิตวิทยาต่อผู้หนีภัยการสู้รบ และราษฎรไทยที่อาศัยอยู่รอบ ๆ พื้นที่พักพิงฯ ให้เข้าใจอย่างถูกต้องต่อผู้หนีภัยการสู้รบฯ
5) ให้จังหวัดที่มีพื้นที่พักพิงฯ ดำเนินการสกัดกั้น ตรวจจับ ผู้หนีภัยการสู้รบฯ ที่ลักลอบออกนอกพื้นที่พักพิงฯ เพื่อไปตัดไม้ทำลายป่า การตรวจค้นอาวุธปืน และยาเสพติดในพื้นที่พักพิงฯ หากพบการกระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งการสนธิกำลังร่วมกับฝ่ายทหาร ตำรวจ และป่าไม้ในพื้นที่ในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบฯ
6) ให้จังหวัดที่มีพื้นที่พักพิงฯ ดำเนินการขอใช้พื้นที่ ที่เป็นที่ตั้งพื้นที่พักพิงชั่วคราวจากหน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่ให้ถูกต้องตามระเบียบและแนวทางปฏิบัติ และให้องค์การกุศลเอกชนรับซื้อสินค้าเกษตรจากราษฎรไทยที่อาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ พื้นที่พักพิงฯ สำหรับใช้แจกจ่ายให้แก่ผู้หนีภัยการสู้รบฯในพื้นที่พักพิงฯ
7) ประสานงานกับกรมป่าไม้ ในการจัดทำแนวรั้วบริเวณพื้นที่พักพิงฯ เพื่อป้องกันมิให้ผู้หนีภัยฯ ลักลอบออกนอกพื้นที่พักพิงฯ
8) ให้ทุกพื้นที่พักพิงฯ ดำเนินการสำรวจจำนวนบุคคลสัญชาติพม่า ที่คณะกรรมการจังหวัดหรืออำเภอ มีมติไม่รับเป็นผู้หนีภัยการสู้รบฯ และให้ดำเนินการส่งกลับมาตุภูมิ
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ได้ประชุมหารือกับ UNHCR ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้หนีภัยการสู้รบฯ ระยะยาวในเรื่อง
- แผนการส่งกลับผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า
- การพัฒนาฝึกอาชีพและรายได้ของผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว
- การจัดทำทะเบียนประวัติผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า
- การบริหารงานในพื้นที่พักพิงชั่วคราว
--------------------------------------------------------------
[1] กองการต่างประเทศกระทรวงมหาดไทย www.fad.moi.go.th/
ไม่มีความเห็น