อาณาจักรอยุธยานั้น เป็นเมืองหลวงของสยาม(ไทย)มาเป็นระยะเวลากว่า 400 ปี ผู้ที่สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นโดยพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ.1893 และถูกทำลายโดยกองทัพพม่าในสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 อยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ (มีราชวงศ์ อู่ทอง สุพรรณบุรี สุโขทัย ปราสาททอง และบ้านพลูหลวง) มีพุทธศาสนาแบบหินยานเป็นศาสนาประจำอาณาจักร แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเชื่อด้านวิญญาณและพระพุทธศาสนาแบบมหายานเจือปนอยู่ด้วย สำหรับในสถาบันกษัตริย์ของอยุธยา ก็ยังใช้พิธีกรรมที่เป็นฮินดูและพราหมณ์เป็นการสร้างอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ เป็นการผสมระหว่างหลัก “ธรรมราชา” และ “เทวราชา”
ด้านภูมิศาสตร์
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีความได้เปรียบทางสภาพภูมิศาสตร์ คือตั้งอยู่ที่บริเวณแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน มีแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้อยุธยามีสภาพเป็นเกาะมีแม่น้ำล้อมรอบ ถนนรอบเกาะยาวประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นที่ราบลุ่มเหมาะแก่การทำการเพาะปลูกข้าวและยังอยู่ใกล้ทะเลพอสมควร ทำให้สามารถทำการค้าต่างประเทศได้โดยสะดวก
สมัยก่อนอาณาจักรอยุธยา
ช่วงแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 18 ถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรไทยได้เกิดขึ้นหลายอาณาจักร เช่น สุโขทัย ล้านนา (เชียงใหม่) ล้านช้าง (หลวงพระบาง) แต่อาณาจักรเหล่านี้ยังมีลักษณะเป็น “แว่นแคว้น” หรือ “เมือง” ที่รวมกันขึ้นมาตั้งเป็นอิสระ ยังมิได้มีอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งมีอำนาจหรือมีลักษณะเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
อยุธยาถือกำเนิดขึ้นมาจากการรวมตัวของเมืองสุพรรณบุรีและลพบุรี ทั้งสองเมืองนี้เป็นศูนย์กลางของอำนาจในวงกำจัดในภาคกลางของประเทศไทย สุพรรณบุรีมีอำนาจทางซีกตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีเมืองเก่าหลายเมืองรวมอยู่ในกลุ่มนี้ เช่น นครชัยศรี (นครปฐมเดิม), ราชบุรี, เพชรบุรี ส่วนลพบุรีก็มีอำนาจทางซีกตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ทั้งสุพรรณบุรีและลพบุรีมีมรดกทางประวัติศาสตร์สืบเนื่องมาจากสมัยทวารวดี และอยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม (เขมร) จากเมืองพระนครหลวงหรือกรุงศรียโสธรปุระ ( สมัยของพระเจ้า สุริยวรมันที่ 1 - สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 )
อาณาจักรอยุธยา
ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอยุธยาขึ้น โดยตั้งขึ้นในเมืองเก่า “อโยธยา” ที่มีมาก่อน และเป็นเมืองที่อยู่ระหว่างกลางของสุพรรณบุรีและลพบุรี ประวัติศาสตร์ช่วงแรกของอยุธยา เป็นเรื่องของการแก่งแย่งชิงอำนาจของ 2 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทองและราชวงศ์สุพรรณบุรี (อันเป็นฝ่ายของพระเชษฐาหรือพระอนุชาของมเหสีของพระเจ้าอู่ทอง) และจบด้วยชัยชนะของฝ่ายสุพรรณบุรีในสมัยของพระเจ้าอินทราชาธิราชที่ 1 ดังนั้นในครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์อยุธยา (ก่อนเสียกรุงให้พม่าครั้งที่ 1) ที่มีกษัตริย์จาก 2 ราชวงศ์ รวม 17 พระองศ์นั้น จะมีกษัตริย์จากราชวงศ์อู่ทอง 3 พระองศ์คือ พระรามาธิบดีที่ 1 พระราเมศวร และพระรามรามาธิราช
ในช่วงแรกของอาณาจักรอยุธยา มีความพยายามที่จะยึดอาณาจักรของขอมที่เมืองพระนครหลวงหรือกรุงศรียโสธรปุระ ซึ่งมีการทำสงคราม 3 ครั้งใหญ่ อันเป็นผลทำให้อาณาจักรขอมอ่อนอำนาจลงและต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่พนมเปญ ในขณะเดียวกันอยุธยาก็พยายามแผ่อำนาจไปทางเหนือ เข้าครอบครองอาณาจักรสุโขทัยได้สำเร็จ ส่วนทางใต้อยุธยาก็ได้เมืองนครศรีธรรมราช
การขยายอำนาจของอยุธยาทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจเหนือเชียงใหม่และอาณาจักรมอญ (ในพม่าตอนล่าง) ความพยายามของอยุธยาที่จะมีอำนาจเหนือเชียงใหม่และมอญนี้ ก็ทำให้มีการขัดแย้งกับพม่าเป็นประจำ อันทำให้อยุธยาถูกทำลายลงในปี พ.ศ.2310 (เสียกรุงครั้งที่ 2)
ด้านการปกครอง
ระบบการปกครองของอยุธยาเป็นระบบ “ราชาธิราชผสมกับศักดินา” กล่าวคือกษัตริย์มีอำนาจสูงสุด แต่ก็ยังมีการแบ่งชนชั้นปกครองเป็น พระมหากษัตริย์-ขุนนาง-พระสงฆ์-ราษฎร ออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน มีการเกณฑ์แรงงาน “ไพร่” และการเก็บอากร “ส่วย” เป็นผลิตผลและตัวเงิน พระเจ้าแผ่นดินทรงผูกขาดการค้ากับต่างประเทศ
การแบ่งชนชั้นของความเป็นเจ้าและขุนนาง มิได้มีการแบ่งตายตัวทั้งนี้เพราะการสืบราชสมบัติ บางครั้งขุนนางก็สามารถขึ้นมายึดอำนาจตั้งราชวงศ์
ใหม่ได้ ดังจะเห็นในกรณีของขุนวรวงศาธิราช หรือในกรณีของราชวงศ์ปราสาททองและราชวงศ์บ้านพลูหลวง
สำหรับราษฎรทั่วไปนั้น ออกแบ่งออกเป็น “ไพร่” โดยต้องมีสังกัดขึ้นกับ “มูลนาย” อย่างแน่นอน มีการแบ่งเป็น “ไพร่หลวง” และ “ไพร่สม” (ไพร่หลวงขึ้นตรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน ไพร่สมขึ้นเจ้าหรือขุนนาง) ไพร่ทั้งสองแบบมีหน้าที่ที่จะต้องถูกเกณฑ์แรงงานทำงานให้กับนายของตน และถูกเกณฑ์เป็นทหารเมื่อเวลามีสงคราม นอกจากนี้ยังมี “ไพร่ส่วย” ซึ่งเป็นไร่ที่เอาผลิตผลมาเสียภาษีแทนการเกณฑ์แรงงาน ไพร่แบบนี้จะเป็นราษฎรที่อยู่ห่างไกลออกไปและอยู่ในพื้นที่ที่มีผลิตผลจากป่าหรือจากแผ่นดิน
ตำนาน
ตำนาน คือ หนังสือที่เป็นผลงานทางด้านประวัติศาสตร์ของไทยที่เก่าแก่ที่สุดควบคู่กับ “พงศาวดาร” โดยทั่วไปตำนานแบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
1.เป็นเรื่องราวของวงศ์ตระกูลหรือตัวบุคคล
2.เป็นเรื่องราวของการสร้างบ้านสร้างเมือง
3.เป็นเรื่องราวของพุทธศาสนาหรือพุทธสถาน
ดังนั้นตำนานก็เป็นเสมือนผลงานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นหลักฐานเกี่ยวกับบ้านเมืองหรือผู้ปกครองเป็นหลักฐานที่อ้างถึงสิทธิอันชอบธรรมในการเป็นผู้ปกครองที่สืบทอดกันมาโดยบรรพบุรุษ
ตำนานที่เป็นที่รู้จักกันก็มีเช่น ตำนานมูลศาสนา เขียนเป็นภาษาไทยยวน เนื้อหาของตำนานนี้เป็นเรื่องราวของพุทธศาสนาที่กำเนิดขึ้นในอินเดียและเผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย
ตำนานอื่นๆที่มีความสำคัญในลักษณะเดียวกันนี้ก็มี เช่น จามเทวีวงศ์ ชินกาลมาลีปกรณ์ ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช ตำนานพราหมณ์เมืองนครศรีธรรมราช
พงศาวดาร
พงศาวดาร คือหนังสือที่เป็นประวัติศาสตร์ไทยที่เก่าแก่ที่สุดควบคู่กับ “ตำนาน” พงศาวดารมาจากคำ 2 คำ คือ พงศ์ และ อวตาร โดยพงศาวดารจะเขียนเป็นภาษาไทย งานเขียนของนักปราชญ์ประจำราชสำนัก พงศาวดารจึงเป็นงานเขียนที่เน้นให้ความสำคัญของพระมหากษัตริย์
พงศาวดารมักจะพบในงานเขียนของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งสะท้องให้เห็นถึงอำนาจของอาณาจักรซึ่งมีลักษณะการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางที่เมืองหลวงและองค์มหากษัตริย์ เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับหลวงประเสริฐ, พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ, พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับสมเด็จพระนพรัตน์, พระราชพงศาวดารกรุงสยาม ฉบับบริติชมิวเซียม,
ประวัติดีมากเลยค่ะ
กรุณาหาประวัติให้ยาวกว่านี้นะค่ะ
แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน มักจะเริ่มต้นการศึกษาประวัติศาสตร์อาณาจักรอยุธยาด้วยข้อมูลที่เข้าใจได้ไม่ยากนักว่า
“สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอยุธยา ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1893 การปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราช พระมหากษัตริย์ เป็นประมุข มีอำนาจเด็ดขาดเพียงพระองค์เดียวลักษณะการปกครองเป็นแบบนายปกครองบ่าวหรือเจ้าปกครองข้า พระเจ้าอู่ทองได้ทรงวางระบบการปกครองส่วนกลางเป็นแบบ “จตุสดมภ์” ตามอย่างขอม โดยมีเสนาบดี 4 คนขุนเมืองขุนวังขุนคลังขุนนา มีการปกครองหัวเมืองส่วนภูมิภาคตามแบบสุโขทัย คือมีหัวเมืองชั้นนอกและประเทศราชได้มีการตรากฎหมายขึ้นใช้หลายฉบับ เช่น กฎหมายลักษณะพยาน ลักษณะอาญาหลวง ลักษณะรับฟ้อง ลักษณะเบ็ดเสร็จว่าด้วยที่ดิน และลักษณะผัวเมียเป็นต้น กรุงศรีอยุธยาตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีทางด้านยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองคือเมืองมีลักษณะเป็นเกาะ มีแม่น้ำล้อมรอบ และรอบนอกเกาะเมืองมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก จึงใช้เป็นเกราะป้องกันศัตรูได้ดี กรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณดินแดนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอันเกิดจากการทับถมของตะกอน ทำให้เหมาะแก่การเพาะปลูกการที่เมืองตั้งอยู่ตรงชุมทางแม่น้ำทำให้สามารถติดต่อค้าขายกับหัวเมืองภาคกลางและภาคเหนือได้สะดวก อีกทั้งอยู่ใกล้อ่าวไทย จึงกลายเป็นเมืองท่าที่ค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ของภูมิภาคได้อย่างดี สินค้าที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา เช่น ข้าว และผลิตผล จากป่า เป็นต้น”
และอันที่จริงๆ ความเข้าใจเช่นนี้ ก็ไม่ได้ผิดแต่ประการใด แต่ความเข้าใจง่ายๆ เช่นนี้ ทำให้การเห็นภาพประวัติศาสตร์อาณาจักรอยุธยาเกิดขึ้นลอยๆ จนไม่เห็นมิติของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพแต่ประวัติศาสตร์ที่ต้องท่องจำแต่ข้อมูลจำนวนมาก
การศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้นเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักประวัติศาสตร์ โดยทั่วไปเพราะเราไม่ค่อยพบเห็นหลักฐานร่วมสมัยอยุธยาตอนต้นในการอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น และส่วนใหญ่ก็มักจะถูกครอบงำด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยหลัง อย่างเช่น พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุชาวต่าวชาติ ที่บันทึกในสมัยพระนารายณ์และหลังจากนั้น และหลักฐานที่น่าจะร่วมสมัยอย่าง จารึก ก็ส่วนใหญ่ยังขาดการศึกษาที่ลึกซึ้งเพียงพอ ทำให้เรามักเห็นภาพของอยุธยาตอนต้น ตอนกลาง และตอนปลายในช่วงเวลาเกือบ 500 ปีที่ไม่ค่อยมีแง่มุมพัฒนาการที่แตกต่างกันมากนัก (ความเห็นของ ศ.อาคม พัฒิยะ ในหนังสือ ศรีรามเทพนคร รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น)
ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ