การจัดการความรู้คืออะไร


การจัดการความรู้เป็นการเดินทาง ไม่ใช่เป้าหมายปลายทาง

อยู่ระหว่างการศึกษาหลักสูตรการจัดการระบบบริการปฐมภูมิ ม.ขอนแก่น โดยมี อ.นพ.ปัตตพงษ์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่สำคัญให้พวกเราได้ต่อยอด พัฒนาองค์ความรู้เพื่อไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงและเป็นการเรียนรู้ร่วมกันในเครือข่ายแพทย์ชนบท เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้เรียนรู้ในเรื่องการจัดการความรู้ โดยเข้าไปศึกษาดูงานที่บริษัทซีพี และศึกษาด้วยตนเองเพิ่มเติมจนเข้าใจพอสมควรที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานในเครือข่ายสุขภาพอำเภอสิชล ได้พยายามค้นคว้าแนวทางการจัดการความรู้ในเชิงหลักการ ทฤษฎี วิธีปฏิบัติ พบข้อเขียนที่น่าสนใจมากเขียนได้ดีครบถ้วนแทบทุกประเด็นและเนื้อหาหลักก็คงหนีไม่พ้นการอ้างถึงต้นตำหรับการจัดการความรู้คือ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช แต่ไม่ได้บันทึกไว้ว่าผู้ใดเป็นผู้เขียนหรือเรียบเรียง ผมขออนุญาติคัดลอกมาเพื่อให้เครือข่ายแพทย์ชนบท นักศึกษาหลักสูตรการจัดการปฐมภูมิ ได้เรียนรู้ ขอบคุณผู้เรียบเรียงไว้ณ.ที่นี้ด้วยครับ

นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ 12/08/2552

การจัดการความรู้คืออะไร

 การจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM)

           การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร  มาพัฒนาให้เป็นระบบ  เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้  และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้  รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ

          1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit  Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์  พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้  ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน  งานฝีมือ  หรือการคิดเชิงวิเคราะห์  บางครั้งจึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม

          2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit  Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม  ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร  ทฤษฎี  คู่มือต่าง ๆ  และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรม

           ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้ให้ความหมายของคำว่า การจัดการความรู้ไว้คือ   สำหรับนักปฏิบัติ  การจัดการความรู้ คือ เครื่องมือเพื่อการบรรลุเป้าหมายอย่างน้อย 4 ประการไปพร้อมๆ กัน ได้แก่

          1. บรรลุเป้าหมายของงาน

          2. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาคน

          3. บรรลุเป้าหมายการพัฒนาองค์กรไปเป็นองค์กรเรียนรู้ และ

          4. บรรลุความเป็นชุมชน  เป็นหมู่คณะ  ความเอื้ออาทรระหว่างกันในที่ทำงาน

 การจัดการความรู้เป็นการดำเนินการอย่างน้อย 6 ประการต่อความรู้ ได้แก่

           (1) การกำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องาน  หรือกิจกรรมของกลุ่มหรือองค์กร

          (2) การเสาะหาความรู้ที่ต้องการ

          (3) การปรับปรุง  ดัดแปลง  หรือสร้างความรู้บางส่วน  ให้เหมาะต่อการใช้งานของตน

          (4) การประยุกต์ใช้ความรู้ในกิจการงานของตน

          (5) การนำประสบการณ์จากการทำงาน  และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้  และสกัดขุมความรู้ออกมาบันทึกไว้

          (6) การจดบันทึกขุมความรู้และ แก่นความรู้สำหรับไว้ใช้งาน  และปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ครบถ้วน  ลุ่มลึกและเชื่อมโยงมากขึ้น  เหมาะต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น

           โดยที่การดำเนินการ 6 ประการนี้บูรณาการเป็นเนื้อเดียวกัน  ความรู้ที่เกี่ยวข้องเป็นทั้งความรู้ที่ชัดแจ้ง  อยู่ในรูปของตัวหนังสือหรือรหัสอย่างอื่นที่เข้าใจได้ทั่วไป (Explicit  Knowledge) และความรู้ฝังลึกอยู่ในสมอง (Tacit  Knowledge) ที่อยู่ในคน  ทั้งที่อยู่ในใจ (ความเชื่อ ค่านิยม) อยู่ในสมอง (เหตุผล) และอยู่ในมือ  และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (ทักษะในการปฏิบัติ)

                การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่คนจำนวนหนึ่งทำร่วมกัน  ไม่ใช่กิจกรรมที่ทำโดยคนคนเดียว  เนื่องจากเชื่อว่า จัดการความรู้จึงมีคนเข้าใจผิด  เริ่มดำเนินการโดยรี่เข้าไปที่ความรู้  คือ เริ่มที่ความรู้   นี่คือความผิดพลาดที่พบบ่อยมาก   การจัดการความรู้ที่ถูกต้องจะต้องเริ่มที่งานหรือเป้าหมายของงาน   เป้าหมายของงานที่สำคัญ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้  ที่เรียกว่า Operation  Effectiveness และนิยามผลสัมฤทธิ์ ออกเป็น 4 ส่วน คือ

         (1) การสนองตอบ (Responsiveness) ซึ่งรวมทั้งการสนองตอบความต้องการของลูกค้า   สนองตอบความต้องการของเจ้าของกิจการหรือผู้ถือหุ้น   สนองตอบความต้องการของพนักงาน   และสนองตอบความต้องการของสังคมส่วนรวม

         (2) การมีนวัตกรรม (Innovation) ทั้งที่เป็นนวัตกรรมในการทำงาน และนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการ

         (3) ขีดความสามารถ (Competency) ขององค์กร และของบุคลากรที่พัฒนาขึ้น  ซึ่งสะท้อนสภาพการเรียนรู้ขององค์กร และ

         (4) ประสิทธิภาพ (Efficiency) ซึ่งหมายถึงสัดส่วนระหว่างผลลัพธ์ กับต้นทุนที่ลงไป การทำงานที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง การทำงานที่ลงทุนลงแรงน้อย  แต่ได้ผลมากหรือคุณภาพสูง เป้าหมายสุดท้ายของการจัดการความรู้ คือ การที่กลุ่มคนที่ดำเนินการจัดการความรู้ร่วมกัน  มีชุดความรู้ของตนเอง  ที่ร่วมกันสร้างเอง  สำหรับใช้งานของตน  คนเหล่านี้จะสร้างความรู้ขึ้นใช้เองอยู่ตลอดเวลา  โดยที่การสร้างนั้นเป็นการสร้างเพียงบางส่วน  เป็นการสร้างผ่านการทดลองเอาความรู้จากภายนอกมาปรับปรุงให้เหมาะต่อสภาพของตน  และทดลองใช้งาน  จัดการความรู้ไม่ใช่กิจกรรมที่ดำเนินการเฉพาะหรือเกี่ยวกับเรื่องความรู้  แต่เป็นกิจกรรมที่แทรก/แฝง หรือในภาษาวิชาการเรียกว่า  บูรณาการอยู่กับทุกกิจกรรมของการทำงาน  และที่สำคัญตัวการจัดการความรู้เองก็ต้องการการจัดการด้วย

 ตั้งเป้าหมายการจัดการความรู้เพื่อพัฒนา

        งาน พัฒนางาน

         คน พัฒนาคน

        องค์กร เป็นองค์กรการเรียนรู้

       ความเป็นชุมชนในที่ทำงาน  การจัดการความรู้จึงไม่ใช่เป้าหมายในตัวของมันเอง  นี่คือ หลุมพรางข้อที่ 1 ของการจัดการความรู้  เมื่อไรก็ตามที่มีการเข้าใจผิด  เอาการจัดการความรู้เป็นเป้าหมาย  ความผิดพลาดก็เริ่มเดินเข้ามา  อันตรายที่จะเกิดตามมาคือ การจัดการความรู้เทียมหรือปลอม  เป็นการดำเนินการเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่ามีการจัดการความรู้  การริเริ่มดำเนินการจัดการความรู้  แรงจูงใจการริเริ่มดำเนินการจัดการความรู้เป็นก้าวแรก  ถ้าก้าวถูกทิศทาง ถูกวิธี  ก็มีโอกาสสำเร็จสูง  แต่ถ้าก้าวผิดก็จะเดินไปสู่ความล้มเหลว  ตัวกำหนดที่สำคัญคือแรงจูงใจในการริเริ่มดำเนินการจัดการความรู้

 การจัดการความรู้ที่ดีเริ่มด้วย

                สัมมาทิฐิ : ใช้การจัดการความรู้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุความสำเร็จ  และความมั่นคงในระยะยาว

                การจัดทีมริเริ่มดำเนินการ

                การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติจริง  และดำเนินการต่อเนื่อง

                การจัดการระบบการจัดการความรู้

แรงจูงใจในการริเริ่มดำเนินการจัดการความรู้ 

แรงจูงใจแท้ต่อการดำเนินการจัดการความรู้ คือ เป้าหมายที่งาน คน องค์กร  และความเป็นชุมชนในที่ทำงานดังกล่าวแล้ว  เป็นเงื่อนไขสำคัญในระดับที่เป็นหัวใจสู่ความสำเร็จในการจัดการความรู้  แรงจูงใจเทียมจะนำไปสู่การดำเนินการจัดการความรู้แบบเทียม  และไปสู่ความล้มเหลวของการจัดการความรู้ในที่สุด แรงจูงใจเทียมต่อการดำเนินการจัดการความรู้ในสังคมไทย  มีมากมายหลายแบบ  ที่พบบ่อยที่สุด คือ ทำเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าทำ  ทำเพราะถูกบังคับตามข้อกำหนด  ทำตามแฟชั่นแต่ไม่เข้าใจความหมาย  และวิธีการดำเนินการจัดการความรู้อย่างแท้จริง

องค์ประกอบสำคัญของการจัดการความรู้ (Knowledge Process)

     1. “คนถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดเพราะเป็นแหล่งความรู้  และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

     2.“เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือเพื่อให้คนสามารถค้นหา จัดเก็บ แลกเปลี่ยน  รวมทั้งนำความรู้ไปใช้อย่างง่ายและรวดเร็วขึ้น

     3. “กระบวนการความรู้นั้น เป็นการบริหารจัดการ  เพื่อนำความรู้จากแหล่งความรู้ไปให้ผู้ใช้ เพื่อทำให้เกิดการปรับปรุง และนวัตกรรม

     องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้ จะต้องเชื่อมโยงและบูรณาการอย่างสมดุล  การจัดการความรู้ของกรมการปกครอง  จากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546   กำหนดให้ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ   เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ   โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ   เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราขการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมะสมต่อสถานการณ์    รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์   และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ  และมีการเรียนรู้ร่วมกัน   ขอบเขต KM ที่ได้มีการพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความสำคัญเร่งด่วนในขณะนี้  คือ การจัดการองค์ความรู้เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการ  และได้กำหนดเป้าหมาย (Desired  State) ของ KM ที่จะดำเนินการในปี 2549   คือมุ่งเน้นให้อำเภอ/กิ่งอำเภอ เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้   เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในพื้นที่ที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง   โดยมีหน่วยที่วัดผลได้เป็นรูปธรรม คือ อำเภอ/กิ่งอำเภอ   มีข้อมูลผลสำเร็จ การแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงบูรณาการในศูนย์ปฏิบัติการฯ ไม่น้อยกว่าศูนย์ละ 1 เรื่อง   และเพื่อให้เป้าหมายบรรลุผล   ได้จัดให้มีกิจกรรมกระบวนการจัดการความรู้ (KM  Process) และกิจกรรมกระบวนการเปลี่ยนแปลง (Change  Management  Process) ควบคู่กันไป   โดยมีความคาดหวังว่าแผนการจัดการความรู้นี้  จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสู่การปฏิบัติราชการในขอบเขต KM   และเป้าหมาย KM ในเรื่องอื่น ๆ   และนำไปสู่ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนต่อไป

กระบวนการจัดการความรู้

           กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge  Management) เป็นกระบวนการที่จะช่วยให้เกิดพัฒนาการของความรู้ หรือการจัดการความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีทั้งหมด 7 ขั้นตอน คือ

         1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่าองค์กรมีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้าง อยู่ในรูปแบบใด อยู่ที่ใคร

         2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เช่นการสร้างความรู้ใหม่ แสวงหาความรู้จากภายนอก รักษาความรู้เก่า กำจัดความรู้ที่ใช้ไม่ได้แล้ว

         3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้อย่างเป็นระบบในอนาคต

         4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เช่น ปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐาน ใช้ภาษาเดียวกัน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์

         5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น

         6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ทำได้หลายวิธีการ โดยกรณีเป็น Explicit  Knowledge อาจจัดทำเป็นเอกสาร ฐานความรู้ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเป็น Tacit  Knowledge จัดทำเป็นระบบ ทีมข้ามสายงาน กิจกรรมกลุ่มคุณภาพและนวัตกรรม ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ระบบพี่เลี้ยง การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เป็นต้น

        7. การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เช่นเกิดระบบการเรียนรู้จากสร้างองค์ความรู้ การนำความรู้ในไปใช้ เกิดการเรียนรู้และประสบการณ์ใหม่ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง

หัวใจของการจัดการความรู้

 มีผู้รู้ได้กล่าวถึง KM หลายแง่หลายมุมที่อาจรวบรวมมาชี้ธงคำตอบว่า  หัวใจของ KM อยู่ที่ไหนได้  โดยอาจกล่าวเป็นลำดับขั้นหัวใจของ KM  เหมือนกับลำดับขั้นของความต้องการ ( Hierarchy  of  needs ) ของ Mcgregor ได้  โดยเริ่มจากข้อสมมุติฐานแรกที่เป็นสากลที่ยอมรับทั่วไปว่าความรู้คือพลัง (DOPA  KM  Team)

                1.  Knowledge  is  Power :  ความรู้คือพลัง

2. Successful  knowledge  transfer  involves  neither  computers  nor documents  but  rather  in  interactions  between  people. (Thomas H Davenport)

:  ความสำเร็จของการถ่ายทอดความรู้  ไม่ใช่อยู่ที่คอมพิวเตอร์หรือเอกสาร  แต่อยู่ที่การมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนด้วยกัน

3.The  great  end  of  knowledge  is  not  knowledge  but  action

                : จุดหมายปลายทางสำคัญ  ของความรู้มิใช่ที่ตัวความรู้  แต่อยู่ที่การนำไปปฏิบัติ

4.Now  the  definition  of  a  manager  is  somebody  who  makes  knowledge  productive

                 : นิยามใหม่ของผู้จัดการ คือ  ผู้ซึ่งทำให้ความรู้ผลิตดอกออกผล

     จะเห็นว่า  จากข้อความที่กล่าวถึง ความรู้ดังกล่าว   พอทำให้มองเห็นหัวใจของ KM เป็นลำดับชั้นมาเริ่มแต่ข้อความแรกที่ว่า  ความรู้คือพลังหรือความรู้คืออำนาจ   ซึ่งเป็นข้อความเป็นที่ยอมรับที่เป็นสากล  ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน และภาคราชการ   จากการยอมรับดังกล่าวมาสู่การเน้นที่ปฏิสัมพันธ์ของคน  ว่ามีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้มากกว่าเครื่องมือหรือเอกสารใด  และมักกล่าวถึงว่า   แม้ความรู้จะถูกจัดระบบและง่ายต่อการเข้าถึงของบุคคลต่าง ๆ ดีเพียงใดก็ตาม  ถ้ามีความรู้ เกิดความรู้ขึ้นแล้ว หากไม่นำไปใช้ประโยชน์   ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของความรู้   และที่ชัดเจนก็คือ   ประโยคสุดท้ายที่เน้นการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ให้เกิดมรรคผล  มีคุณค่าประโยชน์เป็นรูปธรรม   ว่านั่นเป็นนิยามใหม่ของผู้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเลยทีเดียว  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าหัวใจของ KM   อยู่ที่การนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

          อ.นพ.วิจารณ์ พานิช กล่าวไว้น่าคิด หลังจากการไปร่วมสัมมนา นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุขโดยได้ฟังการบรรยายของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี  ตีความ การเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุขทำให้เกิดความเข้าใจเรื่องการจัดการความรู้อย่างลึกซึ้งมาก  จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง  ท่านบอกว่าการพัฒนาชุมชนต้องมี 4 องค์ประกอบ

        1. ชุมชน หมายถึง การอยู่ร่วมกัน ความเป็นชุมชนมีเป้าหมายที่การอยู่ร่วมกัน

        2. เป็นสุข หมายถึง ความเป็นทั้งหมด ความเป็นปรกติ สมดุล บูรณาการของปัจจัยต่าง ๆ อย่างน้อย 8 ด้าน ได้แก่ ชีวิต สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ศาสนธรรม ครอบครัว และชุมชน

       3. การเรียนรู้ หมายถึง การเรียนรู้ร่วมกันของคนในชุมชนนั้น ๆ ผ่านการปฏิบัติ

       4. การสร้างเสริม หมายถึง การเข้าไปเอื้ออำนวย ส่งเสริม เสริมพลัง (empower) ไม่ใช่เข้าไปสอนหรือถ่ายทอดความรู้

       ทั้ง 4 องค์ประกอบนี้ คือหัวใจของการจัดการความรู้ในทุกบริบท ไม่ใช่แค่การจัดการความรู้ของชาวบ้านหรือของชุมชน  ในเรื่องการจัดการความรู้นี้  การเรียนรู้สำคัญกว่าตัวความรู้  เพราะถ้าไม่ระวัง  ตัวความรู้จะเป็นความรู้ที่หยุดนิ่งตายตัว  การเรียนรู้จะมีลักษณะ ดิ้นได้คือมีชีวิต เป็นพลวัต  การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ร่วมกัน เป็น collective learning   และเป็นการเรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ (interaction  learning  through  action)

         อ.บดินทร์ วิจารณ์ เป็นบุคคลหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในด้านการจัดการความรู้ (Knowledge  Management : KM) และองค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning  Organization) ได้กล่าวไว้เมื่อคราวสัมมนาวิชาการ  เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2548  ณ ห้องประชุม 2 อาคาร HS05 คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ว่า การจัดการความรู้ (KM) สิ่งสำคัญมันอยู่ที่การลงมือปฏิบัติให้ได้  ใช้ภาษาเดียวกัน  สื่อความหมายกันให้ได้  การเรียนรู้ของบุคคลหัวใจสำคัญอยู่ที่  เราจะได้เรียนรู้จากการสอนคนอื่น (Learning from Teaching) และ สิ่งที่สำคัญของการจัดการความรู้ก็คือ  เรื่องของคน  การพัฒนาคน  คนพัฒนาตนเอง  การวางแผนทำงาน  การจัดลำดับความสำคัญของงาน ขององค์กร

เครื่องมือในการจัดการความรู้

          กรมการปกครองได้จัดทำแผนการจัดการความรู้ (KM  Action  Plan) ซึ่งปรากฏอยู่ในเอกสาร คำรับรองการปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2549” ซึ่งได้ส่งให้ ก.พ.ร.เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2549 แล้ว  เมื่อพิจารณาเฉพาะเนื้อหาสาระในแผนดังกล่าว  จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ

       1. แผนการจัดการความรู้ในส่วนของกระบวนการจัดการความรู้ (KM  Process)

       2. แผนการจัดการความรู้ในส่วนของกระบวนการจัดการเปลี่ยนแปลง (Change  Management  Process)

        ซึ่งทั้ง 2 ส่วน จะมีความสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาความยากจนตามขอบเขต  และเป้าหมายที่กำหนดไว้ให้บรรลุผล   ขณะเดียวกันในแต่ละส่วนก็จะมีโครงการและกิจกรรมของแต่ละสำนัก กอง รองรับ   เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม   ซึ่งขณะนี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า 15 โครงการ/กิจกรรม   การขับเคลื่อนการจัดการความรู้ของกรมการปกครอง   เพื่อสนับสนุนประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาความยากจน  เป็นงานที่มีความสำคัญอีกงานหนึ่ง ที่ต้องการพลังการมีส่วนร่วมของทุก ๆ ส่วน  ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค   และจะเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการที่จะก่อเกิดการรวบรวมสะสมองค์ความรู้   การใช้ประโยชน์และต่อยอดองค์ความรู้ในการแก้ไขปัญหาความยากจน

     

         การจัดการความรู

หมายเลขบันทึก: 286433เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2009 10:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 21:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท