การคิดเป็นระบบ หรือ System thinking เป็นวิธีคิด สังเกตุ และวิเคราะห์เรื่องราวตามวิถีชีวิตจริงเพื่อให้ได้ความเข้าใจภาพรวมของเรื่องราวชีวิตจริง เด็กทารกมีความสามารถเข้าใจและปรับตัวได้อย่างดีต่อระบบที่มีความซับซ้อน ตั้งแต่แรกเกิด แม้นว่าจะไม่สามารถพูดภาษาใดภาษาหนึ่งได้ แต่เด็กทารกสามารถสื่อสารให้แม่และพ่อให้เอาใจใส่ ถนุถนอม และความมุ่งมั่นที่จะทำให้เด็กทารกเจริญและเติบโตอย่างปลอดภัยและมีความสุข
เด็กทารกเรียนรู้โครงสร้างของระบบครอบครัว เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่าง แม่พ่อ ปู่ยา ตายาย พี่น้อง และวงศา คณาญาติ และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของระบบครัวเรือนอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กทารกมีการปรับตัวให้เข้ากับระบบครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง
การศึกษาในระบบโรงเรียนทำให้นักเรียน (เด็กทารก) ทราบและเข้าใจว่าโลกแห่งความจริง และสามารถแยกออกเป็นส่วน ๆ แต่โลกแห่งความจริงมีการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (dynamic) ไม่ได้แยกเป็นส่วน ๆ ตามที่มีการเรียนการสอนในโรงเรียน ดังนั้นเมื่อเด็กทารกถูกส่งเข้าเรียนรู้ในระบบโรงเรียน ทำให้ความสามารถของเด็กทารกในการเรียนรู้และทราบความเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งความเป็นจริงลดลง (และน่าเป็นห่วงมาก) เด็กทารกเริ่มมีภาพเฉพาะเวลา ขาดความสามารถในการต่อเชื่อมระหว่างภาพของแต่ละเหตุการณ์ แต่ละเดือน
และที่สำคัญ เด็กและเยาวชนขาดความสามารถในการตั้งคำถามว่า
"อะไรเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงจากอดีตสู่ปัจจุบัน และอะไรเป็นเหตุของการตัดสินใจในปัจจุบันเพื่อนำสู่เหตุการณ์ในอนาคต?"
ดังนั้น แม่และพ่อที่สอนให้เด็กทารกปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีกลัวแต่มีความเคารพต่อความซับซ้อนของธรรมชาติจะทำให้เด็กสะสมประสบการณ์เพื่อการปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง และนำสู่ความสามารถใหม่ ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการปรับตัวเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แม่และพ่อเป็นแบบจำลองกายภาพให้แก่เด็กทารก
ผมโชคดีที่แม่และเตี่ย ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่เข้าใจและให้โอกาสในการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ
อรรถชัย จินตะเวช
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เวียงจันทร์ สปป. ลาว
ไม่มีความเห็น