นพ.พิชัย จบแพทย์จุฬา ปี ๒๕๓๑ เคยทำงาน รพ.ชุมชน เข้ากระทรวงอยู่ สนย. ไปเรียนต่องานด้านสาธารณสุขที่ เยอรมัน เรียนต่อหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ จากหลายสถาบัน แล้วลาออกจากราชการมาเป็น สิบปี มาอยู่ภาคเอกชนดูแลธุรกิจครอบครัวประมาณ สิบปีเศษได้ให้มุมมองน่าสนใจ
ประเทศเยอรมัน ช่องว่างของชนชั้นน้อยกว่าประเทศกำลังพัฒนา
ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นกัน แต่ที่น่าสนใจ ในระบบธุรกิจ ผู้บริหารไม่สามารถกอบโกยผลประโยชน์ตั้งเงินเดือนให้ตนเองสูงๆได้แม้ว่าธุรกิจมีผลกำไรสูงเช่นบ.โตโยต้า
การเรียนรู้ในเยอรมันสอนให้เรียนด้วยตนเอง ในมหาลัยที่เยอรมัน ห้องสมุดต้องให้นักศึกษาเข้าถึงได้ง่ายอยู่ในชุมชน ในตลาด ไม่เหมือนบ้านเรา
กระทรวงสาธารณสุขในเยอรมันเล็กมากเป็นเพียงตึกแถวสี่ชั้น แต่บ้านเราเหมือนอาณาจักร ดูแลทุกเรื่องแต่ที่อื่นดูแต่เรื่องนโยบายเท่านั้น
การกระจายอำนาจเขาให้ความสำคัญบางหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุข ควรเป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ต้องใช้คนมาก แต่ใช้เทคโนโลยี่มาช่วย
ระบบการรายงานของ สธ.เมื่อก่อนก็ถูกตั้งคำถามว่าสร้างภาระแต่ไม่เอาไปใช้ประโยชน์ จึงมีการยกเลิกรายงานที่ไม่จำเป็นมาก แต่มาเป็นเซอร์เวย์แทน ยกเว้นรายงานโรคที่ต้องเฝ้าระวัง
ในภาคเอกชนต้องแข่งขันต้องดิ้นรนขวนขวาย แต่รัฐไม่สนใจไม่มีเจ้าของที่แท้จริงหากผู้บริหารขาด ธรรมาภิบาลสร้างปัญหาได้มาก
โดยสรุปความแตกต่างที่มองเห็นจากประสบการณ์ระหว่างภาครัฐและเอกชน
1.เอกชนต้องแข่งขันเพื่อความอยู่รอด พัฒนาตนเองตลอดเวลา
2.ให้ความสำคัญกับลูกค้าพยายามตอบสนองเต็มที่
3.เรียนรู้ตลอดเวลา
4.บริหารจัดการเชิงระบบ
5.กระบวนการตัดสินใจดีกว่า
6.การมีส่วนร่วม
7.ไม่ยึดติดในกฏระเบียบมากเกินไป
8.ปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง
9.อย่าหวังพึ่งรัฐต้องพึ่งตนเอง
10.ใช้ความรู้เป็นเครื่องมือ
ไม่มีความเห็น