ได้ไปประชุม
หลักสูตรเวชศาสตร์ชุมชน ของศิริราช ได้เห็น
สรุปข้อเสนอแนะการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 8 จัด 20- 22
กรกฎาคม 2552 ณ อาคาร
แพทยสมาคม
แล้ว
ในนามผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ก็ชื่นใจ ถ้าการพัฒนาทำไปในแนวทางนี้
ระบบสาธารณสุข ของประเทศไทย น่าจะมีทิศทางในการส่งเสริมสุขภาพ ปฐมภูมิ
การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ การกระจายทรัพยากรสุขภาพ
ระบบสาธารณสุขคงสมส่วนกว่านี้ที่ส่วนหัวโต ส่วนเท้าลีบ
จึงอยากนำมาถ่ายทอดต่อ
การประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ.
2499 ต่อจากนั้นได้มีการจัดประชุมทุก 7
ถึง 8 ปี ต่อเนื่องกันมาอีก 7
ครั้ง ครั้งสุดท้าย คือครั้งที่ 8
วัตถุประสงค์หลักของการจัดประชุมคือเพื่อปรับปรุงการจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ของประเทศให้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้ได้บัณฑิตแพทย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรม
สามารถรับใช้ประเทศชาติได้ตรงตามความต้องการของสังคม
และสอดคล้องกับนโยบายด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพปฐมภูมิค่อนข้างมาก เช่นในข้อ 1-7 ,11
และอีกหลายข้อ
และตรงกับในส่วนของกลุ่มที่ต้องการปฏิรูประบบสุขภาพ
อ่านแล้วตรงใจ คิดได้ครอบคลุม
อยากขยายคลื่นความดีนี้
อย่าได้เป็นแต่ข้อเสนอแนะ
สรุปข้อเสนอแนะการประชุมแพทยศาสตรศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 8
วันที่ 20-
22 กรกฎาคม 2552 ณ
อาคารเฉลิมพระบารมี 50 ปี แพทยสมาคม
1)
ระบบสุขภาพ และบริการสาธารณสุขที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
ต้องให้การบริบาลสุขภาพแบบเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพ
เน้นถึงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์
การเข้าถึงระบบบริการอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
ควบคู่ไปกับการเสริมพลังในภาพประชาสังคม
และการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพโดยให้ความสำคัญในประเด็นต่อไปนี้
· การแพทย์ด้วยจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์
· การให้ประชาชน/ชุมชนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการดูแล สร้างเสริมสุขภาพ
· การใช้ยา ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพอย่างเหมาะสม คุ้มค่า
2) การจัดโครงสร้างระบบสุขภาพ ฯ ต้องมีความครอบคลุม มีการกระจายทรัพยากร
สุขภาพ อย่างเหมาะสม และเป็นธรรม โดยคำนึงถึงบทบาท หน้าที่ และศักยภาพของกำลังคนในทุกระดับ
3) ระบบสุขภาพ ฯ ต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของประชาชนและชุมชนให้มีสำนึกในการส่งเสริมและการดูแลสุขภาพ (health consciousness) ทั้งของบุคคล ครอบครัว และสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วม เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนกำลังคนด้านสุขภาพ ภายใต้วามร่วมมือขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยบริการปฐมภูมิ รวมถึงการมีส่วนร่วมในการจัดบริการ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่สำคัญในระดับภูมิภาคและประเทศ
4) ระบบสุขภาพ ฯ ต้องเน้นการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะผู้สูงอายุและคนพิการที่เข้าถึงบริการได้ยาก
5) ระบบสุขภาพฯ จะต้องเป็นระบบที่บูรณาการทุกระดับ (ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ) โดยมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของแต่ละระดับอย่างชัดเจน และมีความเชื่อมโยงโดยตรงและต่อเนื่อง ผ่านระบบการส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริการสุขภาพในอนาคต
6) ระบบสุขภาพ ฯ ต้องให้ความสำคัญกับการจัดบริการที่ระดับปฐมภูมิ ซึ่งใกล้ชิดกับชุมชนและเข้าถึงได้ จัดบริการเชิงรุก ผสมผสานทั้งการรักษาพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคและ ฟื้นฟูสภาพ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
7) ระบบสุขภาพ ฯ รวมทั้งการจัดการศึกษาแพทยศาสตร์ ควรคำนึงถึงทิศทางการพัฒนา
ระบบบริการที่จะใช้ยุทธศาสตร์การกระจายบริการผู้ป่วยนอก และการรวมศูนย์การบริหารจัดการทรัพย์ยากรเพื่อบริการผู้ป่วยใน
8) แพทย์ต้องมีเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ มุ่งถึงประโยชน์ส่วนรวม มีความรู้ ความสามารถ และ ทักษาที่สำคัญต่อการให้การบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง สามารถน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในเวชปฏิบัติ
9) ในการคัดเลือกผู้ที่จะเข้าศึกษาหลังสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต นอกจากการพิจารณาความรู้ ความสามารถทางด้านวิชาการ สถาบันต้องให้ความสำคัญต่อคุณธรรมจริยธรรม เจตคติที่ดีต่อการศึกษาและวิชาชีพ วุฒิภาวะทางอารมณ์ การสื่อสาร และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
10) ระบบสุขภาพ ๆ / สถาบัน / องค์กร ต้องให้ความสำคัญในการดูแลแพทย์และบุคลากร
ในระบบบริการสุขภาพ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถปฏิบัติการกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข โดยจัดระบบการตอบแทนทั้ง financial และ non-financial ให้สมดุลและสอดคล้องกับการแพทย์ด้วยจิตวิญญาณของการเป็นมนุษย์
11) ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรส่งเสริมให้มีแพทย์ผู้ให้บริการปฐมภูมิในจำนวนที่เหมาะสมกับปริมาณงาน และมีความรู้ ทักษะและเจตคติ ด้านเวชศาสตร์ครอบครัว
12) แพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องกำหนดสัดส่วนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ต่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่น ๆ ให้เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละพื้นที่
13) สถาบันฯ ควรแสดงให้เห็นว่าได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในการปรับปรุงวัตถุประสงค์และสัดส่วนที่เหมาะสมของเนื่องหาของหลักสูตรในการผลิดบัณฑิตแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้ได้แพทย์ซึ่งสามารถให้การบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลางและสอดคล้องกับแนวดน้อมความต้องการด้านสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธภาพ ทั้งนี้ ควรเน้นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาที่สำคัญ ต่อไปนี้
1. การดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยระยะสุดท้าย ตลอดจนการจัดการให้ภาวะวิกฤต
2. การแพทย์ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม มี ความรับผิดชอบ เมตตาธรรม มีจิตบริการ ดูแลผู้ป่วยด้วยความรักและเอาใจใส่เสมือนญาติพี่น้อง
3. การเลือกใช้ยาตามบัญชียาหลักแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพเพื่อการวินิจฉัย และการตรวจรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสม และคุ้มค่า ตามหลีกฐานเชิงประจักษ์
4. เวชปฏิบัติเชิงรุก และการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคในกลุ่มเสี่ยงต่าง ๆ และการฟื้นฟูสภาพ
5. การดูแล และสร้างเสริมสุขภาพตนเอง
6. การวิเคราะห์วิจัยปัญหาสุขภาพชุมชน โดยประยุกต์และผสมผสานความรู้สาขาต่าง ๆ
อย่างเหมาะสม
7. การตอบสนองต่อความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน
8. การถ่ายทอดความรู้ และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ ในบรรยากาศที่
ให้เกียรติ รับฟัง และเข้าใจผู้อื่น
9. การทำงานกับชุมชน มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี การระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน และผู้ให้บริการในภาคส่วนอื่นในกิจกรรมด้านสุขภาพต่าง ๆ ตลอดจนการเสริมพลังจิตอาสาในชุมชน
10. ภาวะผู้นำ สามารถสร้างทีมสหวิชาชีพได้
11. การให้บริการที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีคุณธรรม
12. บทบาท คุณประโยชน์ และแนวทางการบูรณาการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์
ทางเลือกเข้ากรับระบบสุขภาพของประเทศ เพื่อเลือกให้หรือส่งต่อได้อย่างเหมาะสม
13. การพัฒนาองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
14. สุนทรียศาสตร์ ชีวิตและความตาย วัฒนธรรม สังคม กฎหมาย เศรษฐศาสตร์และ
สิ่งแวดล้อมของชุมชน เพื่อเชื่อมโยงกับการบริบาลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
14) แพทยสภา ราชวิทยาลัย และหส่วยงานที่เกี่ยวข้องควรัดให้มีการทบทวนข้อกำหนดและแนวทางปฏิบัติในโรคงการเพิ่มพูนทักษะสำหรับบัณฑิตแพทย์จบใหม่ เพื่อให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานในระบบบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนกำหนดกิจกรรมและช่วง เวลาของการปฏิบัติงานในช่วงชดให้ทุนให้เหมาะสมสำหรับการเข้ารับการฝึกอบรมเป็นแพทย์เฉพาะทาง หรือเพื่อเพิ่มพูนทักษะวิชาชีพที่ต้องการไปพร้อม ๆ กันด้วย
15) สถาบันการศึกษาแพทยศาสตร์ ต้องบูรณาการเนื้อหาวิชาอย่างต่อเนื่องหลอดหลักสูตรและพัฒนาวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วม ความต้องการและความถนัดของผู้เรียน การลงมือปฏิบัติจริง เพื่อผลิตบัณฑิตให้สามารถบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง รวมทังจัดสรรทรพัยากรการเรียนรู้ให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
16) สถาบันการศึกษาฯ ต้องพัฒนาระบบการประเมินผู้เรียนให้ครอบคลุมทุมิติ อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการประเมินเจตคติในการบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ ต้องจัดให้มีการประเมินความก้าวหน้า และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้สอน และผู้เรียนเป็นระยะ ๆตลอดจนติดตามผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณลักษณะอันพึงประสงค์
17) สถาบันการศึกษา ๆ ต้องแสดงให้เห็นว่า มีการประกันคุณภาพในการผลิตบัณฑิตแพทย์และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างเป็นระบบ และครบวงจร เพื่อแสดงว่าผู้สำเร็จการศึกษาสามารถให้การบริบาลสุขภาพโดยมุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
18) สถาบันการศึกษาฯ ควรสนับสนุนให้มีการนำแนวปฏิบัติในการบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลางมาใช้พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์สุขภาพทุกสาขา และสนับสนุนให้มีการจัดการเรียนการสอนแบบสหวิชาชีพ
19) สถาบันการศึกษาฯ ต้องพัฒนาระบบสนับสนุน ให้แพทย์ที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีความรู้ ความสามารถทางวิชาการ และมีเจตคติทีดีในการพัฒนาตนเอง มีความต้องการเป็นครูแพทย์เพิ่มขึ้น พร้อมสร้างแรงจูงใจ แลกำหนดมาตรการเพื่อธำรงไว้ซึ่งอาจารย์ที่เป็นแบบอย่างในการบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง
20) ระบบสุขภาพ ฯ ควรเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยคำนึงถึงการควบคุมคุณภาพให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
21) ระบบการเงินการคลังของระบบสุขภาพของประเทศ ควรให้ความสำคัญกับความเป็นธรรมและประสิทธิภาพในการจัดสรรและใช้ทรัพยากรตามความจำเป็นและความต้องการด้านสุขภาพรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพผ่านการให้กลไกการจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการเป้นสำคัญ
22) ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนควรดำเนินการอย่าเป็นรูปธรรม ตามนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านสุขภาพของประเทศ เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพ และบริการสาธารณสุข ให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 โดยมีเป้าหมายให้การบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ระบบการศึกษาและการวิจัยจะต้องได้รับการพัฒนาให้สอดคล้องกับระบบสุขภาพฯ
23) สถาบันการศึกษา ฯ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการทำวิจัยในการบริการจัดการศึกษา เพื่อสร้างแพทย์และบุคลากรในระบบบริการสาธารณสุขที่พึงประสงค์ และพัฒนารูปแบบการบริบาลสุขภาพที่มุ่งเน้นคนเป็นศูนย์กลางที่เหมาะสมในประเทศทั้งในแบบสหสถาบันและสหสาขาวิชาชีพ ควรจัดระบบให้สามารถนำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้ในการบิการสาธารณสุขของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงมีผลต่อความก้าวหน้าทางวิชาการด้วย
24) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีกลไกประเมินยา ผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และกำหนดนโยบายให้มีการใช้ที่เหมาะสม รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการใช้ยาจากบัญชียาหลักแห่งชาติ รัฐต้องจัดให้มีการเข้าถึงยา ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีด้านสุขภาพโดยถ้วนหน้ารวมถึงการส่งเสริมการใช้การแพทย์แผนไทย และภูมิปัญญาท้องถิ่นในการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม
จิตวิญญาณความเป็นมนุษย์
วันนี้เรายังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?
อ่านไม่หมด แต่ขอเดาว่าดีมากๆ
ขอบคุณที่กรุณาแบ่งปันค่ะ
ทราบว่าได้มีคณะผู้รับข้อเสนอแนะ 24 ประเด็นดังกล่าวไปวางแผนและดำเนินการ
เข้าใจว่าคงกระจายอยู่ในภารกิจขององค์กร/หน่วยงานที่รับผิดชอบตรง...ซึ่งยังค้นไม่พบว่าได้มีการ ป.ช.ส.ผ่านแหล่งใด
ปีนี้ 2556 แล้ว..ทราบว่า กสพท.เตรียมจะจัดประชุมทบทวนการดำเนินงานเร็วๆนี้..
ท่านผู้เกี่ยวข้องคงจะได้กรุณาแบ่งปันในโอกาสต่อไปค่ะ