ท.ณเมืองกาฬ
นาย ทรงศักดิ์ พิราบขาว ภูเก้าแก้ว

. เรื่องสั้น ชีวิตรันทด แต่งดงาม....อดีตและปัจุบันความสำคัญในใจ


เพลงชีวิต







ตอบ






   "ในความรันทด.....ก็มักจะมีความงดงามแฝงอยู่เสมอ

ทุกสิ่งที่เราได้พบเจอ....ก็ล้วนแต่มีคุณค่าในความทรงจำ

หากบทชีวิตของคนเรา...เปรียบเสมือนนิยายเล่มหนึ่ง

ฉันก็ขอเขียนนิยายชีวิตเรื่องนี้....แด่ทุกคนที่ฉันรัก "



บทชีวิต...อดีตและปัจุบันความสำคัญในหัวใจ


           พอประมาณเก้าโมงครึ่ง พี่มีนกับพี่แทนใจก็พากันแวะมาเฝ้าไข้แทน เพื่อที่จะให้ที่พี่หมิวและน้องเอ้ได้กลับไปทำหน้าที่ของตน


“เดี๋ยวพี่จะเข้ามาประมาณห้าโมงเย็นนะ จะได้พาพี่มีนไปรับรอยคีนส์ด้วยกัน ว่าแต่เอ้จะไปกับพี่หรือเปล่าล่ะ” พี่หมิวหันมาบอกฉันพลางเก็บข้าวของใส่กระเป๋าไปด้วย

“ไปสิพี่ ว่าแต่เครื่องลงกี่โมงล่ะ”

“หกโมงเย็นจ้า” พี่หมิวหันมาส่งยิ้มให้ฉันนิดหนึ่ง

“ตกลงรอยคีนส์มาจริง ๆ เหรอณัฐ” พี่มีนถามขึ้น

“มาสิจ้ะ คู่หมั้นเขานอนโรงพยาบาลทั้งที ไม่มาให้เห็นหน้าก็กระไรอยู่ จริงไหมณัฐ” พี่หมิวหันไปบอกพี่มีน แต่มิวายหันมาทำตาให้ฉันอีกต่างหาก

“ก็เขาอยากมานี่ ณัฐก็บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ได้”

พี่มีนเดินมายืนข้าง ๆ เตียง “ไม่มาไม่ได้หรอกณัฐ คู่หมั้นประสบอุบัติเหตุทั้งที และมันก็ไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา ๆ เสียด้วย นี่...พี่ไม่อยากพูดเลยนะ คนที่เป็นอดีตก็อยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฉะนั้นคนที่เป็นปัจุบันต้องทำหน้าที่ตัวเองสักหน่อย จริงไหมล่ะ”

ฉันได้แต่ยิ้มกับเสียงพูดคุยของพี่มีน

“พี่ถามจริง ๆ เถอะณัฐ คดีนี้จะเป็นตำนานรักสามเส้าหรือเปล่านี่” พี่มีนถามพลางสะกิดฉันไปด้วย

แม้ว่าฉันจะรู้ว่าเพื่อนพูดหยอกเล่น แต่ก็อดที่จะคิดตามไม่ได้

“ไม่เป็นหรอกค่ะ เพราะณัฐไม่ได้รักพี่วีแล้ว”

“นี่พี่มีน...ถามอะไรให้มันเป็นมงคลหน่อยสิ มาถามอะไรเรื่องเจ็บปวดทางใจแบบนี้ เดี๋ยวคนไข้ก็ไม่หายกัน” พี่หมิวพูดดักคอพี่มีนทันที

“นี่หมิว เธอไม่รู้อะไรหรอกนะ พี่นะหมอฝ่ายปรึกษาหัวใจแด่ณัฐโดยเฉพาะ เมื่อคนไข้ไม่สบาย นอนอยู่บนเตียงอย่างนี้พี่ก็ต้องสอบถามเป็นธรรมดาแหละ...จริงไหมณัฐ” และก็ทำหน้าทำตาจีบปากจีบคอหันมายิ้มให้ฉัน

“ไม่รู้ค่ะ ทำไมพี่มีนต้องหันมาถามณัฐทุกทีด้วยล่ะ” ฉันปฏิเสธพลางหลบสายตาและก็อมยิ้มไปด้วย

“ก็เพราะพี่อ่านแววตาเราออกนะสิ” คำตอบของพี่มีนทำให้ฉันหัวเราะทันที

“อ่านอะไรคะ เดี๋ยวนี้พี่มีนทำตัวเป็นนักอ่านความรู้สึกคนผ่านแววตาเป็นด้วยเหรอ”

“หึ ๆ ของยังงี้นะดูไม่ยากหรอก อย่าลืมนะ พี่มันพวกมีพรสวรรค์พิเศษจ้า”
พี่หมิวหันมายิ้ม “พิเศษตายเลยแหละ โม้ไปเถอะพี่มีน หมิวกับเอ้กลับก่อนล่ะ” จากนั้นพี่หมิวและน้องเอ้ก็เดินออกไปจากห้อง

“แล้วณัฐจะไปแจ้งความตอนไหนล่ะ” เสียงพี่แทนใจถามอย่างสงสัย

“ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยค่ะ รอออกจากโรงพยาบาลก่อน”

“รอออกจากโรงพยาบาลหรือจะไม่แจ้งความกันแน่จ๊ะ”

คำถามของพี่มีน ทำให้ฉันต้องหันไปสบตาเพื่อนอย่างจัง เพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะเดาใจตัวเองออก

“ไม่แจ้งจริง ๆ เหรอณัฐ เขาทำเราถึงขนาดนี้นะ” พี่แทนใจถามอย่างไม่เข้าใจ

ในวันนั้นฉันไม่ได้ตอบเพื่อนว่าเหตุผลอะไร ทำให้ฉันไม่อยากแจ้งความเอาผิดกับพี่วีระชน ฉันยอมรับว่าเก็บความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ซึ่งความรู้สึกนั้นมันไม่ใช่ความรู้สึกว่าฉันยังรักและมีเยื่อใยกับพี่วีระชนอยู่ แต่ความรู้สึกนี้ที่ฉันมีให้พี่วีระชนนั้น เป็นความรู้สึกที่ไม่อยากมีเวรมีกรรมต่อกัน และความรู้สึกที่อดห่วงคนข้างหลังของพี่วีระชนที่เคยมีน้ำใจให้ฉันไม่ได้

“ณัฐรอดูก่อนค่ะ รอปรึกษาพี่สาวเสียก่อน” และฉันก็เลือกที่จะตอบอย่างนั้น แม้ว่าในใจจะมีคำตอบอยู่แล้ว แต่ฉันก็ตั้งใจอยากจะคุยเรื่องนี้กับพี่สาวด้วย

“พูดถึงก็น่าสงสารเขานะ ผู้ชายบางคนแม้จะเลิกรากับผู้หญิงที่รักไปนานหลายปี แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า....เขาเลิกรักเธอ”

พี่แทนใจบ่นพึมพำไปตามประสา ทำให้พี่มีนต้องหันมามองหน้าฉันทันที

“ถามจริง ๆ เถอะ ณัฐรักวีหรือเปล่า” คำถามของพี่มีนทำให้ฉันชะงักใจไปครู่หนึ่ง

“ณัฐไม่ได้รักพี่วีแล้ว แต่ณัฐไม่อยากให้พี่วีเป็นอย่างนี้ อยากให้เขาเป็นคนดี พบเจอคนดี ๆ และสิ่งดี ๆ”

บางคนอาจจะไม่เชื่อว่านี่คือความคิดของฉัน แต่ฉันก็ยอมรับว่าเป็นคนแบบนี้จริง ๆ ซึ่งความเป็นจริงในความรู้สึกของฉันนั้น ยอมรับว่าไม่ได้รักพี่วีระชนอย่างที่หลาย ๆ คนคิด แต่ฉันไม่เคยปฏิเสธว่ายังห่วงเขาอยู่เหมือนกัน ยิ่งรู้ว่าเขาทำตัวไม่ดีขึ้นทุก ๆ วัน ฉันก็ได้แต่ภาวนาอยากให้เขาเลิกนิสัยนี้เสียที อยากให้คนที่เป็นอดีตพบเจอสิ่งดี ๆ อย่างที่ตัวเองพบเจอในตอนนี้

“แสดงว่าณัฐก็ยังห่วงเขาใช่ไหมล่ะ” พี่มีนหันมาถามอีกครั้ง

“ความรู้สึกของณัฐ ยอมรับว่าห่วง เพราะไม่อยากให้พี่วีทำตัวเลวไปกว่านี้ ถ้าเขาไม่เลิกนิสัยอย่างนี้ มันต้องมีสักวันที่เขาติดคุกติดตารางค่ะ ณัฐก็แค่สงสารแต่พ่อแม่ของเขาเท่านั้นเอง”

ฉันรู้ดีว่าครอบครัวของพี่วีระชนเป็นเช่นใด รู้ว่าพี่วีระชนเป็นความหวังของพ่อแม่มากแค่ไหน ทุก ๆ คนในครอบครัวต่างก็หวังพึ่งเขาแต่เพียงผู้เดียว

“พี่เข้าใจณัฐ แบบนี้ก็หมายความว่าตั้งแต่เลิกกันมา ณัฐไม่เคยเกลียดวีเลยใช่ไหมนี่”

“ณัฐยอมรับว่าช่วงที่พี่วีขืนใจ ณัฐเกลียดพี่วีมาก แต่พออยู่ด้วยกัน พี่วีทำดีกับณัฐเรื่อย ๆ กำแพงแห่งความเกลียดชังก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยที่มีความผูกพันเข้ามาแทนที่ ณัฐรักพี่วีค่ะ และก็รักหมดใจ แต่พอเจอเรื่องความเจ้าชู้ของพี่วี ณัฐรับไม่ได้เลย ยอมรับว่าไม่พอใจเขาหลายอย่าง แต่ทุก ๆ เรื่องณัฐก็อภัยให้พี่วีหมด ให้โอกาสเขาได้ปรับปรุงตัวเองตลอด แต่น่าเสียดายที่พี่วีไม่เคยเปลี่ยนตัวเอง พอณัฐหมดความอดทน ทุกอย่างมันก็จบ ณัฐยอมรับว่าวันสุดท้ายที่ตัดสินใจก้าวออกมาจากชีวิตพี่วี ณัฐร้องไห้มากมาย ยอมรับว่าเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยพี่วีได้ แต่ถ้าจะให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม...ณัฐไม่เอาค่ะ มันเพียงพอแล้วแหละ ตลอดเวลาที่ผ่านมาณัฐก็เฝ้าแต่ภาวนาขออย่าได้เจอพี่วีอีก เพราะณัฐรู้ว่าอาจจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ได้”

“ถามจริง ๆ ณัฐเกลียดเขาไหมล่ะ” พี่มีนถามอย่างข้องใจ

“ก็มีบ้างที่ไม่พอใจกับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่ถึงกับเกลียด แค่รับสิ่งที่เขาทำไม่ได้ นับตั้งแต่เลิกกัน ณัฐก็ทำตัวเฉย ๆ ไม่ได้เกลียดเขา ต่างคนต่างอยู่ และก็อยู่ไกลกันด้วย ไม่เคยติดต่อหากันเลย"

“ถ้าจะให้พี่คิด พี่ว่าวียังรักณัฐนะ ผู้ชายบางคนนะเจ้าชู้จะตาย แต่ปักใจอยู่กับผู้หญิงแค่คนเดียวเท่านั้น” พี่มีนคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ

“ณัฐไม่ได้รักพี่วีแล้ว และทุกอย่างก็จบไปแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางถอนหายใจเบา ๆ

“ดีแล้วแหละณัฐ อดีตมันก็เป็นได้แค่อดีต พี่รู้ว่าณัฐรักรอยคีนส์มาก” พี่มีนบีบมือฉันเบา ๆ เหมือนต้องการให้กำลังใจ

“ค่ะ ณัฐรักรอยคีนส์ ถึงแม้จะไม่มีรอยคีนส์ ณัฐก็ไม่สามารถรักพี่วีได้หรอก”

“พี่เข้าใจจ้ะ คนเราเวลาหมดรักและไม่มีความรู้สึกตรงนั้นให้กันแล้ว ต่อให้พยายามสานต่อยังไง มันก็ไม่สามารถทำให้ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมได้หรอก อย่าไปคิดมากเลย นอนพักเถอะ”

หลังจากที่คุยกับพี่มีนได้ไม่นาน ทางพนักงานของโรงพยาบาลก็เอาอาหารมาส่งที่ห้อง วันนั้นฉันนั่งทานอาหารเสร็จแล้วก็ทานยาที่พยาบาลได้จัดไว้ให้ จากนั้นก็นอนพักไปพลาง ๆ พอสักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ”

“ที่รักครับ เป็นยังไงบ้าง”

“อาการของฉันดีขึ้นแล้วค่ะ แล้วรอยคีนส์ล่ะ” แม้ว่าตัวเองจะนอนอยู่บนเตียงแต่ความห่วงหาอาทรที่มีให้คนรักก็ไม่เคยเปลี่ยน

“ผมกำลังจะขึ้นเครื่องครับ แล้วค่อยเจอกันนะ”

“ค่ะ ฉันจะรอคุณนะคะ”

“ครับ ผมรักคุณนะ”

“ฉันก็รักคุณค่ะ”

นับตั้งแต่คบเป็นแฟนกัน คำว่ารักกลายเป็นคำพูดทิ้งทายก่อนจบบทสนทนาทุก ๆ ครั้ง และมันก็เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจอย่างนั้นจริง ๆ พอวางสายจากรอยคีนส์ฉันก็หันไปมองเพื่อนสนิทซึ่งส่งสายตามาให้อย่างสงสัย

“รอยคีนส์โทรมา บอกว่ากำลังจะขึ้นเครื่อง” เพราะรู้ว่าเพื่อนอยากรู้จึงบอกเล่าเรื่องราวให้ฟัง

พี่มีนยิ้มรับอย่างเข้าใจ “ก็เพราะน่ารักอย่างนี้แหละ ณัฐถึงรักหมดใจ”

“เดี๋ยวนี้พี่มีนรู้ใจณัฐไปหมดเลยนะ” พี่แทนใจหันมาแซวนิดหนึ่ง

พี่มีนหันไปยิ้มให้พี่แทนใจวูบหนึ่ง ก่อนที่จะหันมามองฉัน

“รู้สิ ว่าแต่ณัฐมีดีอะไรเหรอ ทำให้รอยคีนส์บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาอย่างนี้ บอกพี่หน่อยสิ ใส่เสน่ห์อะไรเขาหรือเปล่า” แม้จะเป็นคำถามหยิบหยอกแต่ก็ทำให้คนถูกถามอย่างฉันยิ้มไม่หุบ

“ไม่รู้ ไม่มีอะไรเลย”

“ไม่จริงหรอก พี่ไม่เชื่อ! คนอย่างเรานะต้องมีดีสิ ไม่งั้นรอยคีนส์ไม่รักหัวปักหัวปำแบบนี้หรอก ก็ดูแค่วีสิ...เลิกกันไปหลายปีแล้วยังไม่ลืมณัฐเลย” พี่มีนยังไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ฉันปฏิเสธ

“ณัฐไม่รู้พี่มีน ณัฐก็เป็นของณัฐอย่างนี้มาตลอด”

“จ้ะ พี่เชื่อแล้วแม่คนดีศรีสมร เอาล่ะพี่ไม่เซ้าซี้ก็ได้” พี่มีนพูดเสร็จก็หัวเราะไปด้วย เหมือนกับการได้คั้นเอาความจริงบางอย่างจากฉันเป็นเรื่องสนุกเสียอย่างนั้น

หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จ พี่มีนก็ขอตัวไปนอนดูทีวีที่โซฟา และก็พูดคุยเรื่องราวอื่น ๆ ส่วนพี่แทนใจนั้นก็หลับไปก่อนแล้ว แม้สายตาจะดูรายการทีวีอยู่ แต่ในใจของฉันก็คิดถึงเรื่องราวอยู่อย่างนั้น คิดถึงคนรักที่อยู่แดนไกลซึ่งกำลังจะเดินทางมาถึง คิดกังวลว่าคนที่เป็นอดีตจะมารังควานตัวเองอีกหรือไม่ สารพัดอย่างที่อยู่ในหัวสมองให้คิดได้ตลอด




เวลาในแต่ละนาทีผ่านไปรวดเร็วมาก ฉันเพิ่งจะหลับได้ไม่นานก็ต้องตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนที่เดินเข้ามาที่ห้อง

“หลับกันสบายจังเลยนะ” พี่หมิวเดินนำน้องเอ้เข้ามาที่ห้อง โดยที่ในมือยังถือของติดไม้ติดมือมาด้วย ทั้งพี่มีนและพี่แทนใจซึ่งกำลังหลับอยู่ก็ต้องตื่นจากภวังค์

“กี่โมงแล้วหมิว” พี่มีนหันไปถามด้วยอาการงัวเงีย ซึ่งไม่ต่างกับภาพน้องเอ้เมื่อเช้านี้เลย

“ห้าโมงแล้วจ้ะ ได้เวลาไปรับสุดที่รักของณัฐแล้วนะ” พี่หมิวตอบพลางเดินมายืนข้าง ๆ เตียง ส่วนพี่มีนนั้นก็ลุกพรวดพราดเข้าไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ

“ว่าแต่ณัฐดีขึ้นบ้างไหม” พี่หมิวถามฉันด้วยความห่วงใย

“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ อาการปวดหัวก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ”

“พี่ว่าอาการดีขึ้น เพราะจะได้เห็นหน้าใครบางคนหรือเปล่าจ๊ะ”

“สงสัยเหมือนกันค่ะ” ฉันตอบรับพลางยิ้มให้เพื่อนนิดหนึ่ง

“ออกไปสักห้าโมงครึ่งก็คงทันมั้งนี่” น้องเอ้หันมาบอกพี่หมิว ก่อนที่จะปอกเงาะในตะกร้าใส่ถาดเล็ก ๆ ที่เอามาจากบ้าน

“ทันอยู่หรอก นั่งดูทีวีกันไปพลาง ๆ ก่อน”

เพื่อน ๆ ทุกคนนั่งดูทีวีและพูดคุยกันสนุกสนานสารพัดเรื่อง พอจบเรื่องหนึ่งก็เป็นต้องมีเรื่องอื่น ๆ เข้ามาคุยได้ตลอด ฉันเองก็ได้แต่นั่งฟังและหัวเราะไปกับเรื่องราวตลกขบขันที่ได้ยิน ซึ่งกำลังใจและความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับจากเพื่อน ๆ ทำให้ฉันอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ

พอสักพักพี่หมิวก็หันมาดูนาฬิกาข้อมือ “พี่ว่าเราไปกันเถอะ จะห้าโมงครึ่งแล้ว” พูดพลางลุกขึ้นจากโซฟาและเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายที่โต๊ะ

“พี่แทนใจไม่ต้องไปหรอกนะ อยู่เฝ้าพี่ณัฐดีกว่าไหม” น้องเอ้หันมาสั่งพี่แทนใจอย่างเกรงใจ

“จ้า เดี๋ยวพี่ลงไปซื้อน้ำดื่มข้างล่างมาไว้สักหน่อย ตอนนี้กำลังจะหมดแล้ว เหลือไม่กี่ขวดเอง เดี๋ยวแฟนณัฐมาไม่มีน้ำดื่มกันพอดี พี่อยากได้แบบเป็นแพ็ค” แม้ว่าพี่แทนจะรับปากว่าจะอยู่เฝ้าไข้ แต่พี่แทนใจก็ยังมีเรื่องอื่นที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อน ๆ อยู่เสมอ

“งั้นก็ลงไปพร้อม ๆ กันดีไหม จะได้รีบขึ้นมาไว ๆ” พี่มีนพูดพลางเอามือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกง และก็ลูบผมไปด้วย

“ณัฐอยู่คนเดียวได้นะ ไม่นานหรอก เดี๋ยวพวกพี่กลับมา” พี่หมิวพูดพลางตบไหล่ฉันเบา ๆ

“อยู่ได้ค่ะ”

พอเพื่อน ๆ ออกไปกันหมดแล้ว ฉันก็ไม่ได้สนใจละครบนจอทีวีแต่อย่างใด ด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดที่เพิ่งจะกินไปไม่นาน ทำฉันรู้สึกว่าเปลือกตาหนักทุกที จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตา และก็พลอยหลับไปจริง ๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีใครคนใดคนหนึ่งมาจับมือเอาไว้

ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเพื่อดูให้ชัดว่าเขาคนนั้นเป็นใคร ตอนแรกก็คิดว่าอาจจะเป็นคนรักที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง แต่พอรู้ว่าเป็นพี่วีระชนก็ตกใจไม่น้อย และก็รีบดึงมือกลับมาทันที

“พี่วีมาได้ยังไง พี่วีออกไปเดี๋ยวนี้นะ”

เพราะความที่ฉันยังหวาดกลัวอยู่ ทำให้ฉันเลือกที่จะไล่ให้พี่วีระชนออกไป ในตอนนั้นพี่วีระชนไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ฉันบอกกล่าว และก็เลือกที่จะนั่งเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น โดยที่แววตาเศร้า ๆ ของเขายังจดจ้องมองฉันตลอด

“พี่ขอโทษณัฐ ยกโทษให้พี่นะ” และก็หยิบช่อดอกไม้ช่อหนึ่งมาให้ฉัน พลางเอื้อมมาจับมือฉันให้รับดอกไม้จากตน

ฉันรีบดึงมือออกมาและปฏิเสธตลอด “ไม่ค่ะ ณัฐไม่เอา ณัฐไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น พี่วีกลับไปเถอะ”

เมื่อพี่วีระชนเห็นฉันปฏิเสธและปัดป้องตัวเองตลอด พี่วีระชนก็มองฉันเหมือนต้องการจะรู้ความจริงจากใจฉันให้ได้ เขาคงคิดว่าฉันเกลียดเขามาก ถึงขนาดไล่ให้ออกไปจากห้องตั้งแต่ครั้งแรกที่ตื่นมาเห็นหน้า

“ณัฐฟังพี่ก่อนสิ พี่ขอร้องนะ”

แววตาของพี่วีระชนดูเศร้าเสียเหลือเกิน เหมือนกับเขาเสียใจกับเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“ณัฐไม่มีอะไรจะฟังพี่อีกแล้ว ทุกอย่างมันจบไปแล้ว พี่วีอย่ามายุ่งกับณัฐอีกเลย ณัฐขอร้องล่ะ อย่าให้ณัฐต้องแจ้งความเลยนะ”

ฉันยอมรับว่าความรู้สึกในตอนนั้นกลัวเหลือเกิน เกรงว่าจะถูกทำร้ายเอาอีก และก็เลือกที่จะปฏิเสธฟังเรื่องราวจากพี่วีระชนตลอด โดยที่ยกเอาเรื่องการแจ้งความมาอ้างเพื่อให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองเสีย

“พี่ขอโทษ ได้ยินไหม ว่าพี่ขอโทษ”

คำพูดที่หนักแน่นเหมือนสำนึกผิด ทำให้ฉันต้องหันไปสบตาพี่วีระชนอีกครั้ง น้ำใส ๆ ไหลรินออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฉันไม่อยากได้ยินคำขอโทษจากปากพี่วีระชนเลย ฉันแค่อยากให้เขาอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีฉัน ที่ ๆ ไม่ต้องพบเจอกันอีกเลย

พี่วีระชนเอื้อมมาจับมือฉัน และก็ซุกไว้ที่แก้มข้างหนึ่ง แม้ว่าฉันจะพยายามดึงมือตัวเองออกมาแต่ก็ทำไม่ได้

“อภัยให้พี่นะณัฐ พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”

มันไม่ใช่แค่คำพูดที่สำนึกผิดเท่านั้น แต่น้ำตาที่เอ่อเบ้าทำให้ฉันรู้ได้เลยว่า พี่วีระชนก็คงจะเสียใจไม่น้อยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ในช่วงเวลานั้นฉันได้แต่นั่งแน่นิ่งและร้องไห้สะอื้น ฉันไม่พูดไม่จาและก็พยายามดึงมือกลับมาตลอด เพราะรู้สึกไม่ดีที่มีผู้ชายอีกคนมาจับต้องตัวเองซึ่งมีคู่หมั้นอยู่แล้ว

“ณัฐคงไม่เคยรู้หรอกว่า...พี่รักณัฐมากแค่ไหน แม้จะเลิกรากันไปนานหลายปี แต่พี่ก็แอบหวังอยู่ลึก ๆ ว่าณัฐคงจะไม่มีใคร เหมือนที่พี่ไม่ยอมแต่งงานกับใครสักที เพราะพี่ไม่สามารถเลิกรักณัฐได้ แต่พอพี่มาเจอณัฐที่นี่ พี่ก็คิดว่าณัฐคงจะให้โอกาสพี่ได้กลับมาคืนดีกัน น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว พี่ไม่ขอให้ณัฐกลับคืนมาเพื่อที่รักพี่ เพราะพี่รู้ว่าณัฐมีคนดี ๆ อยู่แล้ว พี่แค่อยากให้ณัฐรับคำขอโทษจากพี่เท่านั้น”

น้ำเสียงเว้าวอนและความรู้สึกที่ระบายออกมาจากปากพี่วีระชน ทำให้ฉันเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากัน ฉันไม่ได้ต้องการความรักจากพี่วีระชน ไม่ต้องการได้ยินคำนี้อีกแล้ว หัวใจของฉันเพียงต้องการให้เขาเลิกรักตัวเองและลืมกันไป เพราะไม่ว่าจะเอาอะไรมาพูดอ้าง ทุกอย่างมันก็สายไปเสียแล้ว ในวันที่ฉันมอบหัวใจให้พี่วีระชน แต่เขากลับไม่ดูแลหัวใจของฉันเลย ทำให้ฉันเจ็บปวดเสียใจมาตลอด แต่พอวันนี้พี่วีระชนกลับมาพูดคำนี้ออกมา แล้วมันจะมีค่าอะไรอีกล่ะ ในเมื่อความรู้สึกที่ฉันเคยมีให้พี่วีระชน...มันตายไปหมดแล้ว นับตั้งแต่เลิกรากันไป ฉันก็ไม่เคยต้องการพบเจอเขาอีกเลย

“ณัฐจะทำอะไรก็ได้ พี่ยอมทุกอย่าง ขอแค่อย่าทำร้ายพ่อของพี่เลยนะ พี่ขอร้อง พี่ยอมเป็นทุกอย่างที่ณัฐต้องการ”

นอกจากคำขอโทษแล้ว พี่วีระชนยังคงปักใจกับถ้อยคำที่ฉันเคยพูดเอาไว้ และก็ยอมเข้ามาหาฉันเพื่อที่จะขอร้องเรื่องนี้ด้วย ถึงแม้ว่าพ่อของวีระชนจะเคยเป็นมือปืนฆ่าคนตายมาหลายคน แต่ความรักและความเอ็นดูที่พ่อแม่ของพี่วีระชนเคยมีให้กับฉัน ในช่วงเวลาที่อยู่กินด้วยกันนั้น ฉันไม่สามารถลืมมันไปได้เลย และนี่แหละคือเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่อยากแจ้งความ เพราะรู้สึกเห็นใจคนที่อยู่ข้างหลังไม่น้อย

ในตอนนั้นฉันเอามือเช็ดน้ำตาเบา ๆ และถอนหายใจลึก ๆ

“ได้ค่ะ ณัฐจะไม่บอกตำรวจเกี่ยวกับเรื่องของพ่อพี่ แต่มีข้อแม้ว่า พี่วีห้ามมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตณัฐอีก”

“แล้วณัฐยอมรับคำขอโทษของพี่หรือเปล่าล่ะ ณัฐไม่ยกโทษให้พี่ไม่เป็นไร แต่พี่อยากให้ณัฐรู้ไว้ว่า พี่เสียใจกับทุก ๆ อย่างที่ได้ทำลงไป”

ฉันร้องไห้สะอื้น แม้ว่าใจของฉันจะยกโทษให้พี่วีระชนหมดแล้ว แต่ก็เลือกที่จะให้เขาออกไปไกล ๆ

“พี่วีออกไปเถอะ ณัฐไม่อยากเห็นพี่อีกแล้ว”

พี่วีระชนค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเอามือเช็ดน้ำตาที่เอ่อเบ้าไปด้วย

“พี่รักณัฐนะ รักมาก ขอพี่กอดณัฐเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม”

ในวันนั้นพี่วีระชนไม่ได้รอฟังคำอนุญาตจากฉันเลย เขาก้มหน้ามากอดร่างของฉันไว้แน่น ฉันเองก็ไม่ได้ยอมให้เขากอดแต่อย่างใด ฉันยังคงต่อต้านและพยายามผลักเขาออกจากร่างตลอด เพราะรู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว จะให้คนที่เป็นอดีตมากอดได้อย่างไร แม้จะเพียงนิดเดียวก็รู้สึกผิดไม่น้อย

“พี่วีปล่อยณัฐนะ อย่าทำอย่างนี้เลย ปล่อยนะ”

ฉันร้องไห้ฟูมฟายและทุบตีอ้อมอกพี่วีระชนไม่หยุด เพราะหวังว่าเขาคงจะปล่อยตัวเองออกจากร่าง แต่น่าเสียดายที่พี่วีระชนไม่ได้ปล่อยฉันแต่อย่างใด และก็ยอมทนให้ฉันตีอยู่อย่างนั้น

“จากนี้ต่อไปพี่คงไม่มีโอกาสได้กอดณัฐ ขอไออุ่นให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดได้ไหม เพราะชาตินี้เราคงจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกแล้ว”

ในชีวิตของฉัน ยอมรับว่าไม่เคยเห็นพี่วีระชนอ่อนแออย่างนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นเขาร้องไห้ขนาดนี้ แม้จะยังอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เป็นอดีต แต่ฉันก็ยังปฏิเสธและต่อต้านอย่างต่อเนื่อง

ช่วงระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงใครบางคนเปิดประตูเข้ามา แล้วจู่ ๆ ก็มีคนมากระชากพี่วีระชนออกไปจากร่างของฉัน และก็ซัดหน้าพี่วีระชนจนล้มนอนกับพื้น

“อย่ามาแตะต้องคู่หมั้นของผมเด็ดขาด ไม่งั้นผมเอาคุณตายแน่!” รอยคีนส์สั่งห้ามพี่วีระชนซึ่งล้มไปนอนอยู่กับพื้น

“ณัฐเป็นอะไรไหมที่รัก”

ถึงแม้ว่ารอยคีนส์กับพี่วีระชนจะเจอกันครั้งแรก แต่ฉันเชื่อว่ารอยคีนส์คงจะเดาออกว่าต้องเป็นพี่วีระชนแน่นอน จากนั้นรอยคีนส์ก็เข้ามาโอบกอดฉันซึ่งนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนเตียง เพื่อน ๆ แต่ละคนได้แต่มองภาพที่เห็นด้วยความตะลึง

“คนนี้ใช่ไหมที่ทำร้ายคุณ”

ฉันจับรอยคีนส์เอาไว้ “พอเถอะนะคะรอยคีนส์ อย่าทำเขาเลยนะ”

ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้รักผู้ชายที่กำลังถูกทำร้าย แต่หัวใจของฉันก็เจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นเขาเจ็บตัว

“อย่าห้ามผมเลยที่รัก ผมทนไม่ได้กับผู้ชายนิสัยเลว ๆ อย่างนี้”

วันนั้นรอยคีนส์ยกกำปั้นทำท่าจะซัดลงตรงหน้าพี่วีระชนอีกครั้ง แต่ก็ถูกฉันจับมือเอาไว้ ช่วงเวลาในตอนนั้น ฉันร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม

“อย่าทำอะไรเขาอีกเลยนะคะ แค่นี้เขาก็เจ็บมากพอแล้ว ถือว่าณัฐขอนะคะ”

คำอ้อนวอนของฉันทำให้รอยคีนส์ยอมหยุดการกระทำแต่โดยดี และก็ลุกขึ้นมาโอบกอดฉันเอาไว้

“ถ้าเพื่อคุณ ผมให้ได้ตลอดที่รัก”

“เขาไม่ได้ทำร้ายณัฐหรอก เขาแค่อยากมาขอโทษและขอกอดณัฐเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น พอณัฐไม่ยอมก็เป็นอย่างที่คุณเห็น”

แววตายังคงเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็ยังสบตาคนรักเพื่อที่จะบอกเล่าความจริงให้เขาได้รู้ จากนั้นฉันก็หันไปมองคนที่นั่งเอามือปิดจมูกเอาไว้ ซึ่งมีเลือดซึมออกมาให้เห็นชัดเจน

“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายณัฐ ผมก็แค่จะอยากขอโทษเธอเท่านั้น ยังไงก็ฝากดูแลเธอด้วยนะครับ”

พี่วีระชนค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากพื้น โดยที่มีพี่แทนใจซึ่งเข้ามาตอนไหนไม่รู้คอยช่วยพยุงอีกแรง

ช่วงชีวิตในตอนนั้น ฉันรู้สึกแย่เป็นที่สุด รู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ฉันมองหน้าพี่วีระชนด้วยความสงสารจับใจ

“ออกไปเถอะนะคะพี่วี ขอให้ทุกอย่างจบลงเท่านี้ อย่าได้เห็นหน้ากันอีกเลย อย่าทำให้ณัฐลำบากใจอีกเลยนะคะ” และฉันก็หยิบช่อดอกไม้ข้าง ๆ เตียงส่งคืนให้ พี่วีระชนรับช่อดอกไม้กลับคืนมาอย่างช้า ๆ สายตาของเขายังคงจ้องมองฉันอยู่ตลอด

“พี่ขอให้ณัฐกับเขารักกันตลอดไปนะ”

พูดจบก็รีบเดินออกไปจากห้องอย่างเร็ว ทิ้งให้หลาย ๆ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็อึ้งไปตาม ๆ กัน

ความเครียดที่มีอยู่ก็เริ่มผ่อนคลายเมื่อวีระชนจากไป ทุกคนเริ่มโล่งใจมากขึ้น

“คุณเป็นอะไรมากไหม นอนพักดีไหมครับ”

รอยคีนส์ช่วยพยุงร่างของฉันมานอนบนเตียงอย่างช้า ๆ หญิงสาวหยุดร้องไห้แต่ยังสะอื้นอยู่ลึก ๆ และก็ยอมทำตามคนรักแต่โดยดี

“ฉันไม่เป็นไรมาก แล้วคุณล่ะคะ” แม้จะดีใจที่มีเขาอยู่เคียงข้าง แต่ก็รู้สึกเสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ผมไม่เป็นไรครับ ห่วงแต่คุณนี่แหละ เจ็บแผลมากไหม เขาคนนั้นทำอะไรคุณหรือเปล่า”

รอยคีนส์ยังจับมือฉันเอาไว้ ส่วนเพื่อน ๆ ก็พากันยืนมองอยู่ข้าง ๆ เตียง

“เปล่าค่ะ เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ฉันต้องขอโทษคุณที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ไม่คิดว่าเขาจะกล้ามาหาฉันที่นี่”

“ช่างมันเถอะที่รัก เรื่องมันผ่านไปแล้ว ต่อไปเขาคงไม่กลับมาให้เราเห็นหน้าอีก” รอยคีนส์พูดปลอบใจฉันเบา ๆ

พี่หมิวหันไปมองพี่แทนใจซึ่งยืนอยู่ปลายเตียง “แล้วพี่แทนใจทำไมไปซื้อน้ำนานจังเลย ดูสิมีเรื่องจนได้

“ก็ไอ้ร้านข้างล่างมันไม่มีขายแบบแพ็ค พี่ก็เลยเดินไปซื้อที่ตลาดฝั่งโน้นแหนะ พอดีช่วงที่เดินไปซื้อน้ำ พี่เห็นร้านข้าวหน้าเป็ดน่ากิน ก็เลยแวะไปนั่งกินชามหนึ่งนะ เพราะตั้งแต่ออกกะมาก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย”

“ทีหลังไม่ต้องเลย มีมือถือหัดใช้เสียบ้าง โทรบอกพวกหมิวก็ได้นิ จะได้พากันซื้อเข้ามาเอง”

“ได้ทีก็ซัดเต็ม ๆ เลยนะจ๊ะ พี่ก็แค่อยากแบ่งเบาภาระพวกหมิวเท่านั้น ถึงยอมเดินเข้าไปในตลาด รู้ยังงี้พี่ไม่ลงไปซื้อน้ำหรอก” พี่แทนใจดูไม่พอใจอยู่บ้างที่ถูกพี่หมิวตำหนิเอา

“เลิกโทษกันได้แล้วสองคนนี้ ถึงพี่แทนใจจะอยู่ที่ห้อง ก็ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่ดีแหละ อย่าลืมนะว่าวีเขาตั้งใจมาขอโทษณัฐให้ได้ ไม่ยังงั้นเขาไม่กล้าเข้ามาหรอก” พี่มีนรีบห้ามปรามเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้ ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปกว่านี้

“พี่มีนพูดถูก ผู้ชายคนนี้เขาตั้งใจมาหาพี่ณัฐจริง ๆ ไม่อย่างงั้นเขาไม่เอาช่อดอกไม้มาฝากหรอกนะ พูดถึงเขาก็น่าสงสารเน๊าะ” น้องเอ้พูดพลางอมยิ้มนิด ๆ

“มันก็น่าเห็นใจทั้งหลายฝ่ายแหละ คนที่น่าสงสารที่สุดนะ คนที่นอนอยู่บนเตียงโน้น ร่างกายก็บอบช้ำ แถมมาเห็นคนที่เป็นอดีตถูกคู่หมั้นชกหลายยกอย่างนี้ ถึงจะไม่ได้รักก็เจ็บไม่น้อยไปกว่ากัน” พี่มีนพูดพลางหันมาทำตายุบยิบให้ฉันด้วย

ตอนนั้นฉันนอนพิงอยู่ที่เตียงข้าง ๆ คนรัก และก็ได้แต่นั่งฟังเพื่อน ๆ พูดคุยกัน

“ตอนนี้เขาได้กำลังใจที่ดีแล้ว อีกไม่นานก็คงจะหายแล้วแหละ ว่าแต่พวกเราเถอะจะเอายังไงกัน” พี่มีนหันไปถามเพื่อน ๆ ในกลุ่ม

“รอยคีนส์จะไปพักที่โรงแรมพี่ไม่ใช่เหรอพี่มีน” น้องเอ้หันไปถามพี่มีน

“จ้ะ แต่สงสัยคืนนี้เขาจะขอนอนค้างที่โรงพยาบาลดูใจคนรักมากกว่า”

ฉันเห็นใบหน้าของรอยคีนส์ ก็รู้ได้เลยว่าเขาคงจะเหนื่อยจากการเดินทางไม่น้อย

“คุณไปพักผ่อนก่อนดีไหมคะ เดินทางมาเหนื่อย ๆ ฉันอยากให้คุณพักให้สบาย พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมฉันอีกก็ได้ค่ะ” แม้ว่าตัวเองจะเจ็บอยู่ แต่ฉันก็ห่วงใยคนรักไม่น้อย

รอยคีนส์ส่งยิ้มให้ฉันนิดหนึ่ง และก็ปรายยิ้มให้กับเพื่อน ๆ ทุกคน

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมขอนอนเฝ้าคุณเอง ให้เพื่อน ๆ คุณไปพักผ่อนกันเถอะ เพราะทุกคนคงจะเหนื่อยไม่น้อย”

“ถ้างั้นพวกเราไม่ต้องเฝ้าไข้แล้วคืนนี้ เดี๋ยวค่อยกลับกันสักประมาณสองทุ่มดีไหม” พี่หมิวหันไปพูดกับเพื่อนทุกคน

       จากนั้นเพื่อน ๆ และรอยคีนส์ก็นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ได้พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับพี่วีระชนอีกเลย เพราะก็คงไม่อยากให้ฉันรู้สึกแย่กว่าเก่า เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของคนรักทำให้ฉันมีกำลังใจมากขึ้น พร้อมที่จะต่อสู้ไปในวันข้างหน้าและลืมอดีตเก่า ๆ กับเรื่องราวแห่งความเจ็บปวดที่พบผ่าน

คำสำคัญ (Tags): #อดีตและปัจุบัน
หมายเลขบันทึก: 283430เขียนเมื่อ 5 สิงหาคม 2009 15:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท