................. เมื่อผู้ป่วยได้ต่อลมหายใจ...........
มีผู้ป่วยหลายคนที่มีความทุกข์ทรมานอย่างมากจากอาการหายใจหอบเหนื่อยป่านจะขาดใจบัดเดี๋ยวนั้นเลย อย่างเช่น คุณลุงอ่อนศรี สูบบุหรี่ตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนถึงปัจจุบัน อายุ55ปี เป็นโรคถุงลมโป่งพอง จนต้องได้มาโรงพยาบาลบ่อยๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าจนเกิดการติดเชื้อวัณโรค แพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อในโรงพยาบาลซึ่งตอนนั้นยังไม่มีห้องแยกโรค ต่อมาผู้ป่วยเสียชีวิต ลุงมณี เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายเหนื่อยเพลียมากจนต้องได้ใช้ออกซิเจนตลอด และคุณลุงเก้า เป็นเบาหวาน ไตวายเรื้อรัง และมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมารักษาซ้ำตลอดนับจากปลายปี 2549 ถึงมกราคม 2552 พบว่านอน โรงพยาบาล 20 ครั้ง และเป็นการ Re-admit ภาย 28 วันเกือบทุกครั้ง จนกระทั่งได้ออกซิเจนไปไว้ที่บ้าน การมารพ.ห่างขึ้น จาก 3-5 วันก็จะมาแต่
2ครั้งล่าสุด ห่างมากกว่า 30 วัน และลูกอยู่ ม.2 และภรรยา ต้องได้ทำกิจกรรมต่างในชีวิตประจำวันมากขึ้น ไปทำมาหากิน และเลี้ยงวัว เป็นอาชีพเสริม ภรรยาลุงเก้าบอกว่าตั้งแต่ได้ออกซิเจนไปใส่ที่บ้านอาการดีมากขึ้นเพราะผู้ป่วยเคยเป็นนักการเมืองท้องถิ่นเคยมีหน้ามีตาในสังคม และเป็นผู้มีอัตตาสูง เคยไปรักษาแต่เฉพาะที่คลินิก กว่าจะมารักษาที่โรงพยาบาลก็อยู่ในระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนเสียแล้ว การที่จะมานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และนอนหอผู้ป่วยรวม คิดว่าทำให้เกิดการเสีย Seft พอสมควร
ผู้ป่วยที่กล่าวถึงเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ยังมีอีกมาก ที่ลูกหลานต้องการให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น ไม่ทรมานมากนัก ถึงแม้ว่าจะหมดลมหายใจได้มีออกซิเจนจน เฮือกสุดท้ายก็เป็นสิ่งที่ญาติพวกเขาต้องการให้จากไปอย่างสมศักดิ์ศรีที่บ้านเป็นความต้องการของผู้ป่วยที่ต้องการอยู่บ้านที่ตัวเองเคยอยู่มาตลอดชีวิต งานผู้ป่วยในโรงพยาบาลป่าติ้วได้มีการวางแผนจำหน่ายผู้ป่วย ให้ยืมถังออกซิเจนไปใส่ที่บ้าน แต่ต้องเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต ผู้ที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ เพราะบางทีไม่พอใช้ในหอผู้ป่วย เดี๋ยวจะเกิด ความเสี่ยงขึ้นได้ ....... บางคนญาติต้องไปทำมาหากิน มีการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตไปทั้งครอบครัว ถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงมากจากอันตรายจากถังออกซิเจน เราก็ได้ให้คำแนะนำความเสี่ยง ให้เอกสารแผ่นพับ และต้องรายงานให้ผู้อำนวยการ ทราบทุกครั้ง และได้ส่งต่อให้เวชปฏิบัติครอบครัวได้ดูแลต่อที่บ้าน และหากอยู่นอกเขตก็ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยไปเยี่ยมบ้านเพื่อให้คำแนะนำ
ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต หากเพียงแต่เราหยิบยื่นสิ่งดีดีให้ และเป็นการต่อลมหายใจ และยื้อชีวิตไว้ไม่ได้เลย ให้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ได้ไม่นานนัก แต่มันก็เป็นการสร้างความภูมิใจให้แก่ลูกหลาน ได้อยู่ด้วยกันด้วยความอบอุ่น ได้ดูแลกันอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่สมควรจะได้รับสิ่งดีดีจากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
.......ในยุคข้าวยากหมากแพง ...............................
ดีครับ เป็นอีกความพยายาม ในการใกล้ชิด และเข้าใจผู้ป่วยเป็นกำลังใจให้ครับ
เห็นด้วยกับการให้ยืมถังออกซิเจนนะครับ
ถึงม้จะยื้อชีวิตของผู้ป่วยได้ไม่นาน แต่ก็ทำให้ญาติพี่น้องได้สบายใจ
ว่าผู้ป่วยไม่ต้องทรมาน หรือต้องไปรพ.บ่อยๆ
ครอบครัวอยากให้ผู้ป่วยอยู่กับเขานานเท่านาน เจ็บปวดน้อยสุด ไม่ทรมาณ ไม่อยากสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ผู้ป่วยและญาติคงดีใจที่หลายๆคนเข้าใจและอยากช่วยเหลือพวกเขาให้มีความทุกข์ทรมาณน้อยที่สุด ค่ะ