เมื่อองค์กรเกิดวิกฤต
การลดต้นทุนอันดับแรกๆ ที่องค์กรส่วนใหญ่นึกถึงคือการลดคน
แม้แนวความคิดนี้จะถูกคัดค้านจากหลายเวทีสัมมนาวิชาการก็ตาม
แต่วิกฤตที่ผ่านมานี้ก็ยังมีให้เห็น
แตกต่างกันเพียงวิธีการที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้นเพราะปลายทางต้องการให้เป็นการจากกันด้วยดี
การปลด ลดพนักงาน
จะด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจจากสถานการณ์บังคับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาจต้องมีกลุ่มบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่บริษัทไม่สามารถ
keep เขาได้เช่นกันในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีติดร่างแหออกไปด้วย
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ องค์กรจะทำอย่างไร
และจะทำการบริหารจัดการคนที่เหลืออยู่จะทำอย่างไร
และจะมีกลยุทธ์การสร้างขวัญกำลังใจและรักษาพนักงานไว้ฝ่าวิกฤตไปได้นั้นเขาทำกันอย่างไร
อันดับแรกองค์กรต้องเข้าใจว่าพนักงานทุกคนที่เริ่มต้นเข้ามาทำงานกับบริษัทนั้นมีแรงจูงใจ
(Motivation) อยู่เต็ม 100% แต่ความสามารถ (Ability) อาจมีไม่ถึง 100%
แต่ผ่านไปความสามารถจะค่อยเพิ่มขึ้นสั่งสมจากการฝึกอบรม
ประสบการณ์จากงานที่ทำ ขณะที่แรงจูงใจกลับลดต่ำลงเรื่อยๆ
โดยธรรมชาติพบว่าแรงจูงใจจะหมดลงภายใน 6 เดือนแรก
ฉะนั้นเท่ากับว่าองค์กรได้รู้สาเหตุของการหมดแรงจูงใจของพนักงานแล้ว
แต่ต้องยอมรับว่าบางเรื่องแก้ไขได้บางเรื่องแก้ไขไม่ได้
ดังนั้นในวิธีของการสร้างแรงจูงใจยังต้องมารู้อีกว่าคนเรามีแรงจูงใจไม่เหมือนกัน
เช่น
หัวหน้างานหลายคนอาจมองว่าพนักงานคนนั้นๆชอบงานที่ท้าทายแต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบ
บางคนอาจต้องการ work life balance ก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ตามหากมองที่ทฤษฎีบันได 5 ขั้นของ Maslow's มีดังนี้ 1.
เงิน(Money) 2.ความปลอดภัย (Security) 3.Acceptability
การได้รับการยอมรับในตัวตน 4.Recognition
การได้รับการยอมรับในความสามารถ และ 5.มีความสุขและความท้าทาย
(Happiness&Challenge)
การสร้างแรงจูงใจนั้นควรจะมีทั้งแรงจูงใจเชิงบวก เช่น เงินเดือน
รางวัลหรืองานที่ท้าทายความสามารถ
ขณะเดียวกันก็ควรมีแรงจูงใจเชิงลบนั้นคือการคาดโทษหากทำไม่บรรลุเป้า
ซึ่งคนเป็นหัวหน้าควรใช้ทั้ง 2
อย่างแต่ควรเริ่มที่แรงจูงใจเชิงบวกก่อนถ้าไม่ได้ผลก็ตามด้วยแรงจูงใจเชิงลบ
แต่ทั้ง 2 อย่างนี้ควรทำในจังหวะหรือเวลาที่เหมาะสม
ขณะเดียวกันแรงจูงใจที่เกิดคนอื่นหรือจากหัวหน้างานแล้วนั้น
พนักงานสามารถสร้างแรงจูงใจให้กับตนเองได้ถ้าพนักงานมีเป้าหมายชัดเจนและสามารถเชื่อมต่อกับเป้าหมายของตนเองได้
อย่างไรก็ตามก็มีสัญญาณที่บ่งบอกว่าพนักงานเหล่านี้ขาดแรงจูงใจ
ในพนักงานรายวันก็จะขาดงานหรือลาออกไปเฉยๆ
ส่วนพนักงานกินเงินเดือนระดับวิศวกร
หัวหน้างานจะแจ้งว่ามีเสียงบ่นเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่ HR ทำคือต้องพิจารณาเป็นกรณีไป ดูว่าเป็นกลุ่ม Talent
หรือไม่จะได้ฉีดยาได้ตรงจุด
สรุป
การสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อกระบวนการในการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ผู้บริหารมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้
เทคนิคและวิธีการในการบริหารงานทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพ เพราะคน
เป็นตัวแปรสำคัญในการ ทำงาน ถ้าองค์กรขาด คน
องค์กรก้อไม่สามารถบรรลุจุดมุ่งหมายได้
แวะมาทักทายเียี่ยมชมเป็นครั้งแรกครับ
แรงจูงใจเชิงบวกสำคัญมากนะ เอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจ ใช้มธุรสวาจา แสดงกิริยาเป็นมิตร ใกล้ชิดยามเจ็บป่วย ช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแหล่ะค่ะ รับรองไม่ขาด ไม่ลา ไม่ไปไหนหรอกขออยู่กับองค์กรแบบนี้ตลอดไปแน่นอน
ทำความเข้าใจ เคารพในสิทธิของผู้อื่น ฟังความคิดของเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็นใคร วัย ฐานะ การศึกษาใด ๆ ก็ตาม
HRควรทำการชี้แจงและกลั่นกรองคุณสมบัติของผู้ที่จะทำงานในตำแหน่งนั้นให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มรับบุคคลากรนั้น
ทั้งแรงจูงใจทางบวกหรือลบ
ต้องสมดุลย์ทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง