แจ้งเกิดโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุข
หลายคนคงอยากถามว่าแผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุขนี้เกิดมาอย่างไร ก็ขอตอบว่าเรื่องมันเกิดขึ้นประมาณ 5 ปีที่แล้ว จากวันที่ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) เชิญชวนให้คณะทันตแพทยศาสตร์ทั้ง 8 แห่งในประเทศไทยมาหารือร่วมกันกับสสส. โดยโจทย์ของสสส. นั้นคือการที่จะช่วยกันอย่างไร ที่จะทำให้บัณฑิตทันตแพทย์มีความตระหนักและมีทักษะในงานสร้างเสริมสุขภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เนื่องจากเห็นว่าสถาบันผู้ผลิตทันตแพทย์มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการหล่อหลอมทันตแพทย์รุ่นใหม่ของสังคม อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เข้าใจโจทย์ชัดเช่นนี้ในตอนนั้นหรอกครับ เราใช้เวลาอยู่กว่า 1 ปีในการทำความเข้าใจกับโจทย์ ซึ่งคงเป็นเพราะธรรมชาติของวิชาชีพเราเองที่เน้นการสอนให้บัณฑิตทันตแพทย์เก่งเรื่องทักษะการรักษา โดยหวังให้บัณฑิตของเราสามารถออกไปปฏิบัติงานได้ทันทีหลังสำเร็จการศึกษา สามารถทำหัตถการต่างๆ เช่น อุดฟัน ถอนฟัน ผ่าฟัน ใส่ฟัน ให้แก่ผู้ป่วยได้อย่างครอบคลุม ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้เป็นความภาคภูมิใจของโรงเรียนทันตแพทย์มาช้านาน ดังนั้น คำว่า "สร้างเสริมสุขภาพ" จึงถูกจำกัดอยู่แต่เพียงงานด้านทันตสาธารณสุขหรืองานทันตกรรมชุมชนเท่านั้น
จาก "สร้างเสริมสุขภาพ" เป็น "สร้างสุข"
แม้ว่าในช่วงปีแรกที่เรายังไปได้ช้า แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้สั่งสมทุนทางสังคมบางอย่างให้กับโรงเรียนทันตแพทย์ เราได้รู้จักกลุ่มคนที่สนใจการสร้างเสริมสุขภาพ เราได้ฝากคำว่า "สร้างเสริมสุขภาพ" ไว้กับที่ประชุมของคณบดี หรือองค์กรผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (อ.บ.ท.ท.) นอกจากนี้โรงเรียนทันตแพทย์ทุกแห่งยังได้มีโอกาสแสดงศักยภาพของตนในการสร้างสรรค์โครงการต่างๆ ด้านการสร้างเสริมสุขภาพ
จากปัญหา "ความเครียด" สู่แนวคิด "สุขภาพองค์รวม" "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสอนว่าเวลาออกหน่วยฯ อย่าดูแต่เรื่องฟันอย่างเดียว ให้ดูเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น สังเกต ขาเจ็บ ตาบวม เจ็บคอ ฯลฯ เพราะทันตแพทย์ก็เป็นแพทย์เหมือนกัน เรียนมาเหมือนกัน ถ้ารักษาได้ก็ควรให้การรักษา ถ้ารักษาไม่ได้ควรให้คำแนะนำส่งต่อไปรักษา ราษฎรจะได้รับการดูแลแต่เนิ่นๆ และต้องซักถามทุกข์สุข เรื่องการทำมาหากิน ถนนหนทาง น้ำท่า เพราะถ้าน้ำไม่มีจะให้แปรงฟันวันละ 2 ครั้งได้อย่างไร ถนนไม่ดีจะให้มาพบหมอปีละ 2 ครั้งได้อย่างไร" พระราชดำรัสนี้จึงเป็นเสมือนแสงสว่างส่องทางให้แผนงานเห็นว่า ทันตแพทย์ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชาใดๆ น่าจะสามารถมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมสุขภาพได้ โดยผ่านการมองแบบ Holistic care คือไม่รักษาเฉพาะกายอย่างเดียวต้องดูถึง จิต สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ คำว่า "สุขภาพองค์รวม" จึงเกิดขึ้นและถูกใช้เป็นแนวทางการรณรงค์ของแผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุขในเวลาต่อมา สืบเนื่องมาจนถึงการทำงานของแผนงานฯ ในระยะที่สอง (2551-2554) ด้วย เราเชื่อว่าคำๆ นี้แม้จะเป็นคำที่ใหญ่แต่ทันตแพทย์ทุกคนเข้าใจได้ง่ายกว่าคำว่า "สร้างเสริมสุขภาพ" และมองเห็นลู่ทางการนำไปปฏิบัติได้ดีกว่า ความเชื่อมโยงอย่างน่ามหัศจรรย์ เมื่อพินิจพิจารณาดูดีๆ ผมพบว่า ทั้งสามประเด็นนี้เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด เพราะมันคือการนำแนวคิด "องค์รวม (Holism)" มาใช้ในการเรียนรู้ ในการทำงาน และในการดูแลผู้ป่วยและชุมชน มันคือการนำแนวคิด "องค์รวม" มาเป็นหัวใจของความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ระหว่างผู้ร่วมงาน และระหว่างหมอกับประชาชนนั่นเอง จากใจ
ต่อมาเมื่อเราค้นพบจากการเรียนรู้ร่วมกับเครือข่ายอื่นๆ โดยเฉพาะเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายพยาบาลชุมชน ว่าความสำเร็จของแผนงานเหล่านี้อยู่ที่เขาสามารถระบุ "ปัญหา" ของเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเมื่อหวนกลับมามองตัวเองก็เลยต้องถามกันอีกทีว่า "ปัญหาเชิงสุขภาพ" ของแผนงานของเรานั้นคืออะไรกันแน่
เราได้คำตอบจากโรงเรียนทันตแพทย์ทุกแห่งเป็นเสียงเดียวกันว่าปัญหาของเขาคือ "ความเครียด" โดยเฉพาะของนิสิตนักศึกษาทันตแพทย์ ก็เลยเกิดแนวคิดที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ และเกิดการรณรงค์ "โรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุข" ขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เริ่มต้นจาก "โครงการสำรวจสภาวะสุข ทุกข์ของนิสิตนักศึกษาทันตแพทย์" ซึ่งทำให้เราพบว่าการแก้ไขปัญหาความเครียดในนิสิตนักศึกษาให้สำเร็จหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ และบุคลากรรอบข้างของเขา และเชื่อว่ากลยุทธ์ที่จะนำมาแก้ปัญหาในเรื่องความเครียดนี้จะส่งผลให้เกิดความตระหนักในเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพไปทีละน้อย ซึ่งผลการดำเนินโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความสำเร็จในเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีสิ่งที่ดำเนินการต่อเนื่องต่อไปอีก
ในช่วงปีสุดท้ายของการดำเนินการของแผนงานฯ ในระยะที่หนึ่ง (พ.ศ. 2550) ในขณะที่เรากำลังทบทวนกลยุทธ์และคิดหาแนวทางเพื่อรุกแนวคิดสร้างเสริมสุขภาพไปสู่ภาคคลินิก เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดที่ว่า งานสร้างเสริมสุขภาพเป็นงานของอาจารย์ภาควิชาทันตกรรมชุมชนเท่านั้น ประธานแผนงานคือ ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุชในขณะนั้น ก็ได้น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตอนหนึ่งว่า
แผนงานโรงเรียนทันตแพทย์สร้างสุขระยะที่สอง จึงร่วมกันกำหนดเป้าหมายว่าเราจะสร้างและสนับสนุนเครือข่ายที่จะช่วยกันทำให้เกิด
1. การเรียนรู้ที่อย่างมีความสุข
2. การทำงานอย่างมีความสุข
3. การประยุกต์แนวคิดสุขภาพองค์รวมมาใช้ในการเรียนการสอนและบริการ
ทั้งนี้เพราะเราเชื่อว่าปัญหา "ความเครียด" ยังคงต้องทำต่อ แต่ต้องแก้ไขทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นกลไกของนิสิตนักศึกษา อาจารย์ และบุคลากร บวกกับการสานต่อแนวคิด "สุขภาพองค์รวม" จากแผนงานฯ ระยะที่หนึ่ง
และหากองค์รวมหมายถึง กาย จิต สังคม และปัญญาแล้ว ประเด็นทั้งสามย่อมนำไปสู่เป้าหมายแห่งการสร้างเสริมสุขภาพในองค์กรได้ และในที่สุดจะเป็นเสมือนเบ้าหล่อหลอมทัศนคติของบัณฑิตทันตแพทย์ของเราให้คุ้นเคยและให้ความสำคัญกับบรรยากาศการสร้างเสริมสุขภาพในการทำงานต่อไปในอนาคต
ผศ. ดร. จรินทร์ ปภังกรกิจ
ผู้จัดการแผนงานฯ