การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
จากการให้บริการผู้ป่วยนอกที่มารับบริการที่โรงพยาบาลชุมชนในแต่ละวัน ผมสังเกตว่าโรคต่างๆที่ได้รับการวินิจฉัยน่าจะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมด้านสุขภาพของผู้มารับบริการมากกว่า90%จะเกี่ยวข้องมากหรือน้อยอีกเรื่องหนึ่ง โรคเบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,หลอดลมอุดกันเรื้อรังและถุงลมโปร่งพอง,ไขมันในหลอดเลือดสูง,หลอดเลือดหัวใจตีบ แม้กระทั่งโรคติดเชื้อต่างๆไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดจนกระทั่งโรคติดเชื้อที่รุนแรงต่างๆก็เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพทั้งนั้นรวมไปถึงอุบัติเหตุด้วยก็เช่นกัน
ลักษณะการให้บริการที่ตึกผู้ป่วยนอกในปัจจุบันโอกาสที่ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำที่ดีดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากจำนวนแพทย์ที่น้อยและผู้ป่วยที่มารับบริการมีแนวโน้มจะมากขึ้นเนื่องจากมีการคัดกรองผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆได้ดีขึ้น ทำให้พบผู้ป่วยมากขึ้น(ซึ่งเป็นเรื่องดีแต่ไม่สอดคล้องกับการแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร) ผู้ป่วยจำนวนมากมาหาแพทย์เร็วขึ้นเช่นเป็นไข้หนึ่งวันหรือบางทีไม่ถึงวันก็มาตรวจและมีหลายครั้งถือโอกาสตรวจทั้งครอบครัวเลยเพราะว่าไหนๆก็มาแล้วและฟรีอีกด้วย การให้คำแนะนำดูเหมือนเป็นการสื่อสารทางเดียวไม่รู้ว่าผู้ป่วยเข้าใจหรือไม่ หรือเข้าใจแต่ก็ไม่รู้จะนำไปปฏิบัติหรือไม่
ครั้งนี้ผมไม่ได้จะมาเสนอแนวทางหรือวิธีแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากรหรือจะมาเสนอแนวทางวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก แต่อยากจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับท่านผู้อ่านจากเหตุการณ์ที่ได้ประสบมา
เมื่อปลายปีที่แล้วได้มีการอบรมเกี่ยวกับผู้นำกับวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ ในการอบรมได้ใช้เทคนิคสุนทรียสนทนาตลอดการฝึกอบรม มีอยู่คืนหนึ่งได้มีการจัดสุนทรียสนทนาเป็นกลุ่มใหญ่โดยหัวข้อให้เล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ต่างๆในการดูแลผู้ป่วยที่ประทับใจ หลายคนได้เล่าประสบการณ์ที่อยากจะกลับไปแก้ไขใหม่เนื่องจากได้รับกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีกับผู้ป่วยหลังจากที่ตนเองได้เรียนรู้กระบวนทัศน์ใหม่ก่อนหน้านี้ไปแล้ว
มีพยาบาลท่านหนึ่งซึ่งงานประจำของท่านเป็นผู้ดูแลรักษาผู้ติดสุราและยาเสพติด ท่านได้เล่าว่า บิดาของตนเองได้ติดสุราเรื้อรังมานาน พยาบาลท่านนั้นซึ่งเป็นลูกได้พยายามแก้ไขพฤติกรรมติดสุราของบิดาตนเองตามความรู้ความสามารถที่ตนเองได้รับจากการทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลรักษาผู้ติดสุราและยาเสพติด
พยาบาลท่านนั้นมีความคิดว่าท่านเองเป็นผู้ดูแลรักษาฯแต่บิดาท่านป่วยเสียเองยิ่งทำให้ต้องพยายามแก้ไข ดูเหมือนว่า ยิ่งท่านได้พยายามแก้ไขบิดาของท่านในมุมมองของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่มีกับผู้ป่วย ยิ่งทำให้สัมพันธภาพความเป็นพ่อลูกเหินห่างกันมากขึ้น
จนกระทั่งท่านได้โกรธบิดาท่านมากเนื่องจากความตั้งใจและพยายามอย่างมากที่จะให้บิดาท่านเลิกสุราให้ได้ แต่ไม่เป็นผลจนทำให้พ่อกับลูกไม่พูดจากันอยู่พักหนึ่ง แต่ท่านก็คิดได้ว่าถึงอย่างไรก็เป็นบิดาท่านการโกรธและเหินห่างท่านเป็นสิ่งที่ไม่ดี พยาบาลท่านนั้นได้กลับไปหาและดูแลบิดาของท่านอีกครั้งโดยครั้งนี้ไม่ได้พยายามให้บิดาของท่านได้เลิกสุราเลย ท่านได้ดูแลบิดาของท่านด้วยความรักเป็นความรักที่มีต่อบุพการี ต่อมาบิดาท่านได้เลิกสุราเอง ท่านได้ถามบิดาของท่านว่า ทำไมพ่อถึงได้เลิกสุรา บิดาของท่านได้ตอบว่า “ท่านรู้ว่าลูกรักท่าน” พยาบาลท่านนั้นได้เล่าไปทั้งน้ำตาแห่งความสุขก็ไหลออกมาด้วย
สิ่งที่ผมอยากจะถอดบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากเรื่องเล่าข้างต้นก็คือว่า ในการดูแลผู้ป่วยเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น ผู้ป่วยยังมีความรู้สึกหรือมีมุมมองแบบผู้ให้และผู้รับบริการ ผู้ให้บริการเองก็อาจจะให้คำแนะนำแบบวิชาการหรือให้เพราะเป็นหน้าที่ ผู้รับบริการไม่สามารถสัมผัสถึงความหวังดีของแพทย์หรือพยาบาลที่ดูแลเขาได้ และถ้าเมื่อไรที่ผู้รับบริการสัมผัสได้ถึงความรักความหวังดีที่แพทย์หรือพยาบาลได้มีให้กับเขา เมื่อนั้นพฤติกรรมด้านสุขภาพที่ไม่ดีต่างๆคงจะปรับเปลี่ยนไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ที่สำคัญผู้ให้บริการต้องฝึกรักตัวเองบ้าง เพื่อจะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดี และเป็นตัวอย่างให้กับผู้มารับบริการ นะครับ
ไม่มีความเห็น