<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cordia New"; panose-1:2 11 3 4 2 2 2 2 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:"Cambria Math"; panose-1:2 4 5 3 5 4 6 3 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:-1610611985 1107304683 0 0 159 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-unhide:no; mso-style-qformat:yes; mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:14.0pt; font-family:"Cordia New","sans-serif"; mso-fareast-font-family:"Cordia New";} .MsoChpDefault {mso-style-type:export-only; mso-default-props:yes; font-size:10.0pt; mso-ansi-font-size:10.0pt; mso-bidi-font-size:10.0pt; mso-ascii-font-family:"Cordia New"; mso-fareast-font-family:"Cordia New"; mso-hansi-font-family:"Cordia New"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 72.0pt 72.0pt 72.0pt; mso-header-margin:72.0pt; mso-footer-margin:72.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} -->
หางไหล (โล่ติ๊น)
ประวัติความเป็นมา
หางไหลหรือโล่ติ๊นเป็นพืชที่ใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช ในสมัยโบราณ และพบว่าสามารถนำมาใช้เบื่อปลาได้ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อคน ปัจจุบันใช้กำจัดแมลงศัตรูผักได้ผลดี หางไหลมี 2 ชนิด ได้แก่ หางไหลขาว ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีสารโรตีโนนมากใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชได้ผลดี โดยนำรากมาทุบแช่น้ำจะทำให้มีสีขาวขุ่นคล้ายสีนม ยังไม่มีรายงานว่าพบตามธรรมชาติ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปางได้สายพันธุ์มาจากชลบุรี และได้ขยายพันธุ์แจกจ่ายไปให้เกษตรกรที่ภาคเหนือเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีแล้ว ส่วนหางไหลแดงพบเห็นทั่วไปตามธรรมชาติ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืชต่ำเพราะมีสารโรทีโนนต่ำ เมื่อนำรากมาทุบแช่น้ำจะทำให้มีสีแดงขุ่นทั้งสองชนิดมีลักษณะคล้ายกันมากดูที่ใบแยกชนิดได้ยาก ควรส่งตัวอย่างให้ผู้เชี่ยวชาญจำแนกจะถูกต้องมากที่สุด
ลักษณะต้นหางไหล
หางไหลเป็นไม้เลื้อยเจริญเติบโตเร็ว ถ้ามีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอสามารถปลูกได้ทั้งกลางแจ้งและในร่มเงาแต่การปลูกกลางแจ้งจะเจริญเติบโตได้ดีกว่า ในก้านใบหนึ่ง ๆ จะมีใบตั้งแต่ 5 – 13 ใบ ใบคู่แรกนับจากโคนก้านใบมีขนาดเล็กที่สุดและเริ่มใหญ่ขึ้นเป็นลำดับจนถึงใบสุดท้ายที่อยู่ตรงปลายเป็นใบเดี่ยว ซึ่งมีขนาดของใบใหญ่ที่สุด การออกดอกอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม เมื่อดอกบานเต็มที่มีกลิ่นหอม รากมีปมแบคทีเรียเหมือนกับปมของรากพืชตระกูลถั่ว
การขยายพันธุ์
หางไหลสามารถขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ โดยใช้กิ่งชำที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ตัดใบออกให้หมด ถ้าเหลือไว้จะทำให้มีจำนวนรากน้อยลง การใช้ฮอร์โมนเร่งรากช่วยทำให้กิ่งชำมีจำนวนรากเพิ่มมากขึ้น การปักชำควรมีความชื้นสม่ำเสมอโดยให้น้ำหล่อเลี้ยงด้านล่าง วัตถุไว้เสมอ ทำให้กิ่งชำมีโอกาสแห้งตายน้อยลง ในช่วงฤดูแล้งควรปักชำในถุงพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นและควรฉีดสารป้องกันเชื้อราในถุงชำ ระหว่างการปักชำควรให้ปุ๋ยยูเรีย (0.1%) จำนวน 3 ครั้ง ห่างกัน 10 วัน ปักชำไว้นานประมาณ 45 วัน จึงแยกกิ่งชำลงถุงดำพกไว้ที่ร่มรำไรควรให้ปุ๋ยยูเรียกับต้นกล้าสัปดาห์ละครั้งประมาณ 1 เดือนกิ่งชำจึงมีความพร้อมที่จะย้ายไปปลูกในแปลงควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝนที่มีความชื้นในดินสูง (อรุณ, 2544ข)
สรุปการปักชำหางไหล
1. ใช้กิ่งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เซนติเมตร
2. ความยาวของกิ่งปักชำประมาณ 25 เซนติเมตร
3. ควรตัดใบออกให้หมด
4. ใช้ฮอร์โมนเร่งรากในการออกรากที่มีขายตามท้องตลาด
5. ให้ปุ๋ยยูเรีย 3 ครั้ง ในระหว่างการปักชำ
การปลูก การดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยว
หางไหลเป็นพืชที่ปลูกง่ายแต่ควรมีการดูแลให้น้ำในช่วงที่ปลูกใหม่ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งจะทำให้ต้นหางไหลตายได้ แต่ถ้าต้นหางไหลตั้งตัวได้แล้วจะทนความแห้งแล้งได้พอสมควร แต่จะเจริญเติบโตดีถ้ามีความชื้นสม่ำเสมอ สถาบันวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรลำปาง ได้ทดลองปลูกในถังซีเมนต์ให้ระบบน้ำหยดทำให้หางไหลเจริญเติบโตเร็ว สามารถเก็บเกี่ยวรากได้ภายในระยะเวลา 12 เดือน มีปริมาณสารโรทีโนนเพียงพอที่จะนำมาสกัดเป็นสารกำจัดแมลง ผลผลิตน้ำหนักรากสดที่ได้โดยเฉลี่ยมากกว่า 367.00 – 522.90 กรัม/ต้น ส่วนถ้าปลูกในแปลงจะได้ผลผลิต
ไม่มีความเห็น