ใบหน้าที่ซึมลง หากไม่สังเกตผู้ป่วยรายนี้ก็ดูเหมือนเป็นปกติ ... หัวเราะ พูดคุยอย่างที่ไม่ได้สื่อออกมาเลยว่าตัวเธอเองกำลังอยู่ในสภาวะซึมเศร้า และการจมอยู่กับความทุกข์ตรมในใจ
"นอนไม่หลับค่ะ ... "
"เพราะอะไรถึงนอนไม่หลับ...คะ " เป็นคำถามที่ชวนให้คนไข้หันกลับมาทบทวนในตนเอง ถึงสาเหตุ เพราะหากเราไม่ได้พูดคุยกับคนไข้แล้ว บุคลากรสาธารณสุขจะทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ผู้สั่งยา จ่ายยานอนหลับเท่านั้น แต่ปัญหาที่แท้แห่งการเกิดอาการนั้นไม่ได้รับการแก้ไข
รายนี้...เมื่อถูกกระตุ้นถาม เธอเงียบไปสักพัก แล้วก็เริ่มน้ำตาซึม หน้าหมองลง
นั่นน่ะทำให้ทราบเลยว่า เธอนั้นมีแผลอยู่ในใจที่ยังเรื้อรังอยู่ เพียงแต่เธอใช้วิธีกลบและปิดบังภายนอกไว้เท่านั้น เธอใช้นิ้วกรีดน้ำตา...พยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา แต่ทำนบนั้นได้พังลงแล้ว ก้อนสะอื้นที่มาจุกอยู่ที่คอ...แล้วก็ร้องไห้ออกมาเงียบๆ "มีเรื่องคิดค่ะ คิดมาก"...
"คิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร พอที่จะบอกเล่าให้ฟังได้ไหม..." ความเอื้ออาทรจากใครคนหนึ่งทำให้ใครอีกคนหนึ่ง รู้สึกได้ว่าเหมือนว่ายน้ำมาจากที่ไกลแสนไกลและมีมือๆ หนึ่งดึงขึ้นมาจากฝั่ง... ความใส่ใจ เป็นหัวใจสำคัญของการเยียวยาทางด้านจิตใจ
"เสียใจ เรื่องสามีตาย...เมื่อห้าเดือนก่อน"
แล้วเธอก็เริ่มเล่าเรื่องการจากไปของสามีด้วยโรคตับแข็ง เธอบอกว่า ช่วงเวลาที่สามีมีชีวิตอยู่นั้น เธอได้แต่บ่นและไม่เคยพูดจาดีดีด้วยเลย เมื่อเขาตายจากไปเธอรู้สึกเสียใจ ที่น่าจะได้ทำดีต่อกันบ้าง
หลายๆ รายที่พบ...รู้สึกเสียใจต่อความเสียใจที่เกิดขึ้น (feeling about feeling) จะมีเสียงแห่งภายในก้องสะท้อนถึงความที่ผ่านมาในอดีต เป็นเรื่องราวที่ "จิต" ของคนเรานั้นไปยึดมั่นอยู่กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
นั่นเป็นเพราะว่า คนเรานั้นไม่เคยดำรงตนอยู่ในปัจจุบัน... ขณะที่เราอยู่ในปัจจุบันเราจึงขาดความตระหนักในเรื่องที่ว่า "ทำดีที่สุด" เราจึงมักคอยทำร้ายกันด้วยวาจา และการกระทำอยู่เสมอ ==> ทำร้ายด้วยคำพูดที่ส่งผลให้บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเราได้รู้สึกเจ็บช้ำ เจ็บปวดจากคำพูดหรือการกระทำของเรา
จริงแล้ว คำพูดหรือการกระทำนั่นสะท้อนออกมาจากใจที่ทุกข์
แต่มนุษย์เรานั้นขาดการเรียนรู้ที่จะเอาชนะความทุกข์ในใจตนเอง ขาดในเรื่องความอดทน อันเป็นหนึ่งบารมีที่พึงฝึกฝนและอดทน ดังนั้นในช่วงเวลาที่มีลมหายใจอยู่นั้น เราจึงมักทำให้อีกฝ่ายซึ่งเป็นใครก็ได้ที่จิตของเราเลือกให้มาเป็นเหยื่อทางอารมณ์... ให้เขาได้เจ็บปวดจากวาจาและการกระทำของเรา
สำหรับคนไข้รายนี้...
ข้าพเจ้าได้พูดคุยเชิงเยียวยา เพื่อให้มีเป้าหมายของการดำรงอยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้การละออกจากอดีตที่ผ่านมาแล้วอันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ให้ทำความรู้จักต่อทัศนะเรื่องความตาย...และการดำรงอยู่กับลมหายใจ เผชิญหน้าต่อความรู้สึกทุกข์ที่มันทะลักล้นขึ้นมาจากภายในด้วย "ความอดทน" ไม่ยอมให้ใจอ่อนแอ...
การฝึกนี้...ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของคนไข้...
หากมีความมุ่งมั่นที่อยากจะบรรเทาการเจ็บป่วยทางด้านจิตใจให้บรรเทาลงได้นั้น บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ลงมือกระทำด้วยตนเอง บุคคลอื่นนั้นเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
การเรียนรู้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ... สะท้อนบทเรียนจากอดีตให้เธอได้มองเห็นว่า การที่เราทำปัจจุบันได้อย่างไม่เต็มที่ จึงเป็นสาเหตุทำให้ทุกวันนี้จึงต้องทุกข์ ธรรมชาติของคนเรานั้นเมื่อได้ทำปัจจุบันได้อย่างเต็มที่แล้ว คำว่าเสียใจจะไม่มีเลย และเป็นโอกาสของการได้เรียนรู้ในเรื่องของการวางลงอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นได้อีกหนทางหนึ่งด้วย
ปัจจุบัน ควรใส่ใจซึ่งกันและกัน ดูแลกัน
ชีวิตไม่แน่นอน เมื่อมีใครจากไปก็ย้อนเวลาไม่ได้อีกแล้ว จะนึกเสียใจคนที่ตายก็รับรู้ค่ะ
ความตระหนักรู้ และการดำรงอยู่กับปัจจุบันนั้น
เป็นเรื่องที่ทุกคนบอกว่า รู้..แต่จริงๆ แล้วนั่นน่ะไม่รู้ เพราะการที่เรารู้ คือ การที่เราสามารถดำรงตนอยู่ในสภาวะนั้นได้อย่างรู้ตัว...
"สติ"... จะทำให้ความเป็นปัจจุบันนั้นตื่นและเบิกบานอยู่เสมอค่ะ
ขอบคุณคุณ berger0123 นะคะที่ร่วมเติมเต็มความคิดเห็นค่ะ
ถูกต้องแล้วคร้าบบ...น้องชายเอ๊ะ คนพลัดถิ่น~ต้นตอ-natachoei(หน้าตาเฉย) ที่น่ารัก เห็นมั๊ย พี่กะปุ๋มจึงต้องรีบชื่นชมในความน่ารักและอัธยาศัยดีของน้องเอ๊ะค่ะ :)