CBNA ฉบับที่ 33 :จดหมายจาก “ลุง” ถึง “น้าและหลาน” ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ใช้แรงงาน โลกเราจะอยู่กันอย่างไร


ลุงไม่รู้น้าและหลาน เคยรู้เรื่องราวเหล่านี้บ้างไหม มันละเหี่ยใจนะ แต่มันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ใช้แรงงาน โลกเราจะอยู่กันอย่างไร แต่ทำไมผู้ใช้แรงงาน ไฉนชีวิตจึงเป็นเช่นนี้เล่า ?

ฉบับที่ 33 (23 มิถุนายน 2552)

 

จดหมายจาก ลุงถึง น้าและหลาน

ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ใช้แรงงาน โลกเราจะอยู่กันอย่างไร

 

วันก่อนได้อ่านจดหมายน้าเขียนถึงหลาน เล่าเรื่องราวของพี่น้องร่วมโลกผู้ได้รับชะตากรรมจากอำนาจเผด็จการทหารประเทศพม่า ที่ทำการแย่งยึดพื้นที่พี่น้องกะเหรี่ยงKNU ผู้ปกป้องมาตุภูมิและศักดิ์ศรีของชาติพันธุ์ตนเอง ที่ยืนหยัดจะดำรงอัตลักษณ์ของตนเองมิให้อำนาจเผด็จการพม่าเข้ามากดขี่บีฑา แต่ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัย

หลายชีวิตต้องร่อนเร่อพยพเข้ามาฝั่งดินแดนไทย บางคนมาขายแรงงานเพื่อเลี้ยงชีวิตให้อยู่รอด ไม่อาจเอ่ยเอื้อนต่อรองกับค่าจ้างแสนถูก ไร้หลักประกันพื้นฐานที่นายจ้างควรมอบให้ในฐานะผู้สร้างมูลค่ากำไรให้กับเขา

หนีร้อนมาพึ่งเย็น  ทำไมจึงหาเย็นไม่ ?

มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า  โลกนี้จึงหามีแต่ความสุขรื่นรมย์ แต่ใยต้องมีความเศร้าด้วยเล่า

ไงก็ตามสุขทุกข์คงมีหลากหลายแง่มุมหลายถิ่นที่ นะหลานนะน้า

วันนี้ลุงก็จะเล่าเรื่องที่ลุงพบเจอมาให้น้าและหลานๆ รับฟังบ้างแล้วกัน

เมื่อสามอาทิตย์ก่อน ช่วงยามเย็นลุงได้กลับไปเยี่ยมเยียนมิตรสหายคนหนึ่ง หลังจากไม่ได้เจอกันมานานพอควร

เขาเคยเป็นผู้นำต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินทำกินของเกษตรกรผู้ไร้ที่ดิน ซึ่งรวมกันหลายคนในหมู่บ้านของเขา ได้เข้าแผ้วถางที่ดินของนายทุนเจ้าที่ดิน ที่ปล่อยรกร้างว่าเปล่าไม่ทำประโยชน์ เนื่องเพราะนายทุนเจ้าที่ดินต้องการเอาที่ดินเพียงเพื่อเป็นสินค้าเก็งกำไรเท่านั้นเอง

ขณะที่เขาและอีกหลายคนไม่มีที่ดินทำกิน และเขาก็ถูกจับกุมดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ในข้อหาบุกรุกที่ดินของคนอื่น  แต่ลุงคิดว่าเขาหาใช่อาชญากรรมไม่ ก็ในเมื่อคนมีที่ดินปล่อยที่ทิ้งไว้ไม่สร้างผลผลิตก็ควรให้คนที่ไม่มีได้สร้างอาหารเลี้ยงผู้คนไม่ดีกว่าหรือ  ?   

ตอนแรกลุงเข้าใจว่าครอบครัวของเขาคงทำการเกษตรกันอย่างพอเพียงมีความสุขตามชีวิตคนบ้านนอกคอกนา  ไฉนได้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ขณะที่ลุงกำลังนั่งสนทนานอกชานบ้าน เรื่องปัญหาที่ดินที่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน และเขาเล่าให้ฟังถึงคดีของเขาอาจทำให้เขาต้องเข้าคุกได้ สายตาของลุงก็เหลือบเห็นภรรยาของเขากำลังนั่งหงมอยู่ที่เครื่องจักรมีเศษผ้าขนาดเล็ก เธอกำลังเย็บขอบเสื้อผ้าอยู่

ลุงก็เลยได้คำถามการสนทนาจากเรื่องที่ดิน มาเป็นเรื่องการเย็บผ้าของภรรยาเขา

เขาเล่าให้ฟังว่า ทุกอาทิตย์ก็จะมีนายหน้าในหมู่บ้านเอาผ้ามาให้ภรรยาเขาเย็บ เย็บเฉพาะขอบริมเท่านั้น ได้ค่าจ้างตามจำนวนผืนๆละ 10 บาท วันหนึ่งก็ประมาณ 15 ผืน วันละไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง

แกบอกว่าใครขยันก็ได้มาก แต่ถ้าเย็บไม่ได้ตามต้องการ ก็จะไม่จ่าย 

อาจต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้ โรงงานจึงมาอยู่ที่บ้านของเขาแล้ว เหมือนๆ กับว่าเขาเป็นเจ้าของโรงงานเลยนะ  แต่เป็นโรงงานที่เจ้าของไม่ได้เป็นนายทุนทำการผลิตเอง แถมไม่มีสวัสดิการ ไม่รู้จะต่อรองกับใคร  ไม่รู้ว่านายหน้าที่เอาผ้ามาให้เย็บนั้น เอามาจากนายทุนที่ไหน คนเดียวหรือหลายคนก็มิอาจรู้ได้   กฎหมายแรงงานก็บอกว่าจัดตั้งสหภาพแรงงานไม่ได้  จะทำประกันสังคมตามกฎหมายประกันสังคมก็ไม่ได้ ไม่มีนายจ้างร่วมแจมด้วย  กฎหมายว่าอย่างนั้นนะ

ลุงคุยกับเขา จนราวหกโมงเย็น  ก็เห็นลูกสาวของเขาขับมอเตอร์ไซค์ ใส่ชุดยูนิฟอร์มสีฟ้าทั้งชุด มาจากโรงงานอิเลคโทรนิคส์แห่งหนึ่งเขตนิคมอุตสาหกรรม ลำพูน เขาบอกลุง

ลุงนึกว่าลูกสาวเขากลับมาถึงบ้านแล้ว คงอาบน้ำ ทานข้าว พูดคุยกับพ่อแม่ แล้วคงพักผ่อนหลับนอน เช้าคงไปทำงาน ที่ไหนได้ ราวสองทุ่ม เด็กสาวคนนั้นก็ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ขับมอเตอร์ไซค์บึ่งออกจากบ้าน

เขาเล่าให้ฟังถึงเรื่องราวของลูกสาวว่า  เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฎ ปีที่แล้ว ยังค้างหนี้การศึกษาที่ได้กู้อยู่เหมือนที่เขาเป็นหนี้ธนาคารเกษตร (ธกส.) ต้องผ่อนชำระหนี้การศึกษาเหมือนเขาเลย

เขาบอกว่า ลูกสาวเขาต้องทำงานเข้ากะราวสามทุ่มถึงตีหนึ่ง  เขายังบอกว่าวันหยุดหรืออย่าคาดหวังเลย  เนื่องเพราะค่าแรงทำงานปกติไม่เพียงพอจ่ายหรอก ได้ประมาณสักห้าหกพันบาท   ถ้าไม่ทำวันหยุด โอทีก็แย่  อยู่ลำบากจึงต้องอดทนเอา แก่ตัวก็เป็นห่วงอยู่ว่าสภาพร่างกายจะแย่ทำงานเกินควร พักผ่อนน้อยไป  สิ่งแวดล้อม สารพิษแถวโรงงานในโรงงานก็เคยปรากฏเป็นข่าวกรณีคุณมยุรี เกรียวกราวมาแล้ว โรงงานไม่ค่อยลงทุนพวกอุปกรณ์ป้องกันอย่างที่ควรจะเป็น มันเป็นอย่างนี้ละ เขาถอนหายใจ เหม่อมองออกไปนอกบ้าน   

ลุงคุยกับเขานานแล้ว  ตอนนี้จะสี่ทุ่มแล้ว ลุงและเขาก็ต้องเดินทางเข้าเชียงใหม่ด้วยกัน ไปค้างที่เชียงใหม่ พรุ่งนี้มีงานสัมมนาของเกษตรกรทั่วภาคเหนือ เขาเป็นแกนนำคนหนึ่งที่ต้องไปประชุมด้วยกัน จึงติดรถมากับลุงด้วย

ขณะที่รถกำลังผ่านท้องทุ่งยามค่ำคืน   ลุงเห็นมีแสงไฟที่พักคนที่เป็นเพิงพัก ซึ่งน่าจะไม่ใช่ที่พักถาวรเหมือนบ้านคน ลุงก็เลยถามเขาว่า  ใครมาพักมาทำอะไรกันหรือ ?

เขาบอกว่า    ช่วงนี้ช่วงฤดูการเก็บเกี่ยวลำไย  จึงมีคนต่างถิ่น  มารับจ้างเก็บลำไย หมู่บ้านแถวนี้ขาดแคลนแรงงาน จึงต้องจ้างคนต่างถิ่น  

เขาเล่าว่า  บางคนเป็นพวกแรงงามข้ามชาติ บางคนเป็นคนไทยนี่ละ แต่มาจากดอย

ด้วยนิสัยความเป็นผู้นำของเขาที่สนใจทุกข์สุขของเพื่อนมนุษย์  เขาก็เคยไปนั่งสนทนาด้วยกับพวกเขาเหล่านั้น  เขาจึงรู้ว่าบางคนหนีมาจากฝั่งพม่า เป็นผู้ลี้ภัยสงคราม   พวกนี้รับจ้างหลายอย่างเป็นกรรมกรก่อสร้าง  เป็นคนทำงานรับใช้บ้านคนรวยทำทุกอย่างที่คนไทยไม่ทำ  บางคนก็เป็นเด็กปั้ม  เด็กขนของ บางคนก็อยู่ร้านอาหาร ทำทุกอย่างให้มีชีวิตอยู่รอด

เขาบอกว่า แรงงานเหล่านี้ชีวิตจึงอัตคัดขัดสนลำบากยากเข็ญกว่าเขา ลูกสาว และภรรยาเขาไม่รู้กี่เท่า  ค่าแรงแต่ละวันไม่รู้ถึงร้อยบาทหรือปล่าว  ไม่ต้องพูดถึงสวัสดิการอื่นๆเลยไม่มีอยู่แล้ว   เขาสรุปให้ลุงฟัง

ลุงไม่รู้น้าและหลาน  เคยรู้เรื่องราวเหล่านี้บ้างไหม  มันละเหี่ยใจนะ

แต่มันเป็นเช่นนั้นเอง 

ถ้าโลกนี้ไม่มีผู้ใช้แรงงาน   โลกเราจะอยู่กันอย่างไร

แต่ทำไมผู้ใช้แรงงาน  ไฉนชีวิตจึงเป็นเช่นนี้เล่า ?

  

หวังว่าน้าและหลานคงสบายดีนะ ส่วนลุงก็ตามอัตภาพครับ

 

ลุง

23 มิถุนายน 2552

เมืองหลวงล้านนา

 

 

หมายเลขบันทึก: 270953เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2009 13:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน 2012 21:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท