ลมหายใจสุดท้าย
โดย sha-oravan
เช้าวันหนึ่งหลังการส่งเวรผู้ป่วยที่โต๊ะทำงานเสร็จ น้องเวรดึกได้เดินราว์นผู้ป่วยไปตามเตียงอีกครั้ง โดยเริ่มส่งอาการผู้ป่วยตั้งแต่เตียงเด็ก 1 ,เด็ก 2, เด็ก 3 ,......มาเรื่อย ๆ จนกระทั้งถึงเตียงเด็ก 10 น้องพูดขึ้นว่า พี่ “คนไข้รายนี้เป็นผู้ใหญ่ ญาติปฏิเสธการส่งตัวไปรักษาโรงพยาบาลศูนย์ ขอให้แพทย์รักษาให้เต็มที่ที่โรงพยาบาล เตียงฝ่ายผู้ใหญ่เต็มจึงให้ผู้ป่วยนอนอยู่เตียงเด็ก 10 ซึ่งเป็นล็อคด้านใน ไม่มีญาติพลุกพล่าน ผู้ป่วยจะได้นอนพักผ่อนเต็มที่ “ ฉันจึงหันกลับไปมองผู้ป่วยอย่างพิจารณาอีกครั้ง พบชายหนุ่มอายุ ประมาณ 30 ปี แต่งกายด้วยชุดโรงพยาบาล นอนอยู่บนตียงมีผ้าห่มสีน้ำเงินคลุมไว้ค่อนตัว มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ ต้องใช้ออกซิเจนช่วย แขนด้านซ้ายมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ ข้าง ๆ เตียงผู้ป่วยมีคนเฝ้าเดินไปมาอยู่ห่าง ๆ ทำให้ฉันรู้สึกสงสัยว่า ผู้ป่วยอาการหนักขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีใครนั่งหรือดูแลผู้ป่วยอยู่ใกล้ ๆ ที่จะคอยปลอบโยนให้กำลังใจ
จากการสอบถามอาการของผู้ป่วยจากพยาบาลเจ้าของไข้ ทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยรายนี้มีประวัติเป็นโรคเอดส์มา 5 ปี รักษาโรงพยาบาลตลอด รับยาต้านไวรัสแต่รักษาไม่ได้ผล 3 วันก่อนมาโรงพยาบาลมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ มีไข้ รับประทานอาหารไม่ได้ ซึมลง ญาติจึงนำมาส่งโรงพยาบาล “แต่ที่ผ่านมาหนูยังไม่เคยเห็นภรรยาและลูกของคนไข้เลยนะพี่ เห็นแต่พ่อ แม่และญาติของผู้ป่วยมาเฝ้า” หลังเดินราว์น ผู้ป่วยเตียงอื่น ๆ เสร็จฉันจึงเดินกลับไปที่เตียงอีกครั้ง โดยถามคนเฝ้าว่า
พยาบาล : ป้าเป็นอะไรกับผู้ป่วยค่ะ
ญาติ : เป็นแม่
พยาบาล : เช้านี้ ผู้ป่วยได้เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าหรือยังค่ะ
ญาติ : เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าแล้วจ๊ะ
พยาบาล : ป้าทราบอาการของลูกหรือยังค่ะ
ญาติ : รู้แล้ว หมอบอกเมื่อวานว่า ลูกของป้าอาการหนักมากแล้ว ให้ทำใจ ป้าไม่อยากให้เค้าทรมานอีกจึงไม่ขอไปรักษา รพ.ศูนย์ อยากให้เค้าไปสบาย ๆ
พยาบาล : ป้าค่ะสำหรับวันนี้หมอยังให้น้ำเกลือต่ออีกนค่ะ ส่วนอาการเหนื่อยหอบก็ให้ออกซิเจนไว้ก่อน แต่เอ๊ะ ป้าทำไมหนูไม่เห็นแฟนเค้ามาเฝ้าเลยละค่ะ ป้าชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าดูเจื่อน ๆ พยายามหลบสายตา ก่อนจะตอบว่า ไม่ได้มา ไม่ว่าง ต้องคอยดูแลแม่ที่ไม่สบายอยู่ที่บ้าน ฉันยังคงถามต่อ “ไม่สบายเป็นโรคอะไรหรือป้า ป่วยหนักหรือเปล่า ฝากใครดูแลก่อนได้มั้ย “
ญาติ : ป่วยเป็นอัมพฤกษ์ ต้องคอยดูแลเรื่องอาหาร
คำตอบของแม่ ทำให้ฉันรู้สึกอึ้งและก็สงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวนี้ ทำไมสามีป่วยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดถึงวันนี้หรือเปล่า ทำไมถึงไม่มาดูแล มาดูใจหรือพาลูก ๆมาเยี่ยมพ่อบ้างเลย สภาพผู้ป่วยดูกระสับกระส่าย สับสนมากขึ้น แววตามีกังวล เหมือนจะรอใคร.......
ฉันจึงเข้าไปรบเร้ามารดาของผู้ป่วยอีกครั้ง “ป้าลองโทรศัพท์ตามแฟนและลูก ๆ เค้ามาเยี่ยมเถอะ ยังพอมีเวลา บางทีลูกของป้า เค้าอาจจะอยากเห็นหน้าลูกและภรรยาเค้านะ” ป้าโทรศัพท์ไปเถอะ อำเภอพระแสงนะอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลหรอก นั่งรถประมาณ 20 นาทีก็ถึงแล้ว ขณะที่รอภรรยาเดินทางมาถึง ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อยหอบมากขึ้น ความดันโลหิตเริ่มลดลง ชีพจรเต้นเบา หายใจเริ่มช้าลง ฉันจึงได้แต่อธิบายอาการของผู้ป่วยให้ญาติรับทราบเป็นระยะ ๆ เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง บิดาและมารดาของผู้ป่วยมาบอกว่า จะขอพาผู้ป่วยกลับไปเสียชีวิตที่บ้านมหาราช (ซึ่งอยู่ในอำเภอเวียงสระ) ฉันจึงบอกไปว่า “ขอให้รอภรรยาและลูกของผู้ป่วยก่อนเถอะ... ป้า ” ดูเหมือนญาติ ๆ จะหันกลับไปปรึกษากันก่อนที่จะเดินมาพูดกับฉัน โดยมีป้าของผู้ป่วยพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ “ขอพาหลานกลับบ้านช่วยไปบอกหมอที ” ฉันก็เลยต้องทำตามความต้องการของญาติ โดยเดินไปบอกแพทย์เวรที่ตึกอุบัติเหตุ-ฉุกเฉิน เรื่องญาติขอพาผู้ป่วยกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน แพทย์รับทราบและอนุญาตตามที่ญาติขอ ขณะที่ฉันเดินมาถึงเตียงผู้ป่วยเพื่อจะบอกญาติ พบว่า มีหญิงสาวรูปร่างอวบ ใส่เสื้อยืดสีขาวสายเขียว นุ่งผ้าถุงสีน้ำเงิน ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงมากับเด็กชาย 2 คน คนโตอายุประมาณ 12 ปี รูปร่างอ้วนเตี้ยไว้ผมบ๊อป ผิวคล้ำ ใส่เสื้อยืดสีแดง กางเกงสามส่วน คนเล็กอายุประมาณ 5 ปี ใส่เสื้อยืดลายการ์ตูน กางเกงขาสั้นเก่า ๆเข้ามายืนข้างเตียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนกเหมือนจะช๊อคกับภาพตรงหน้า ยืนนึ่งมองไปที่ผู้ป่วย น้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้มผู้เป็นภรรยา ฉันจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ และกระซิบบอกภรรยาและลูก ๆ ให้เข้าไปบอกพ่อให้ทราบว่า ลูก ๆ และแม่มาหาพ่อแล้ว ภรรยาจึงเดินพาลูก ๆทั้งสองคนเข้าไปจับมือด้านขวาของผู้ป่วย โดยลูกชายคนโตก้มลงพูดข้าง ๆ หู “ พ่อๆ...ผมมาหาพ่อแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะผมจะดูแลแม่และน้องเอง พ่อหลับให้สบายนะ ” เสียงพูดของลูกชายคนโตดูเหมือนจะทำให้ลม หายใจที่รวยระรินในแต่ละเฮือก ....ละเฮือกของผู้ป่วยจะสัมผัสรับรู้การมาของลูก ๆ และภรรยาสีหน้าที่เคยเศร้าหมอง คิ้วที่ขมวด ดูจะค่อย ๆ คลายเหมือนจะหมดห่วง และสิ้นลมอย่างสงบ คงได้ยินเพียงเสียงสะอื้นของภรรยาและเสียงร่ำให้ของลูก ๆ เรียก พ่อ พ่อ พ่อ ..........
สำหรับฉันแล้วก็ได้แต่รู้สึกเศร้าใจกับภาพที่เห็นแต่ลึก ๆ ก็ยังรู้สึกดีใจ ที่อย่างน้อย ที่สุดในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้ป่วยรายนี้ ฉันก็ได้มีโอกาสช่วยให้เค้าได้สมหวังกับการคอยที่จะพบลูกและภรรยาและได้จากไปอย่างสงบ
ถึงพี่ วรรณ
ผมอ่านข้อความแล้วครับพี่ เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าประทับใจมากเลยครับ เพราะผมคิดว่าผู้มารับบริการไม่ได้มารักษาเฉพาะร่างกายที่ป่วยไข้ครับ ถ้าพวกเราในฐานะผู้ให้บริการให้บริการผู้ป่วยทุกรายด้วยใจ อย่างที่พี่ทำผมว่าอนาคตโรงพยาบาลของเราผ่าน TQA แน่นอนครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ คิดถึงพี่ๆทุกคนครับ มีอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาลเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับว่างๆจะเข้ามาอ่านอีกนะครับ
น้องเล็ก เศรษฐพร
รู้สึกหดหู่มากเลย จากเรื่องที่ได้อ่าน มีอีกหลายๆกรณี หลายๆรูปแบบ ที่เราผู้ให้บริการจะต้องเจอ
นี่คือ บททดสอบบทหนึ่ง กับ ......การบริการด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์.... ที่เราต้องทำ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนทำงาน......