การพยาบาลผู้ป่วยเอดส์เป็นการทำงานที่ต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของโรคและผู้ป่วย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ รู้สึกสูญเสียความมั่นใจในตนเอง กลัวความลับถูกเปิดเผย กลัวการถูกรังเกียจจากคนในครอบครัวและชุมชน ดิฉันจึงปฏิบัติงานการพยาบาลด้วยการเป็นผู้รับฟังปัญหา ร่วมวางแผนแก้ไขปัญหา และให้การช่วยเหลือตามความสามารถที่มีอยู่ด้วยความเต็มใจ โดยเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และการสร้างพลังอำนาจให้ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมด้วยความมั่นใจ ดิฉันได้มีโอกาสดูแลผู้ป่วยชาย วัย 40 ปี สถานภาพโสด การศึกษาปริญญาตรี อดีตประกอบอาชีพรับจ้างเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวน สอบสวน รู้ว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวีมาประมาณ 15 ปี พยายามดูแลตนเองและออกกำลังกายเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง จนกระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อนป่วยหนักด้วยวัณโรคต่อมน้ำเหลือง เข้ารักษารพ.ในกทม. ผู้ป่วยบอกว่า “ตอนนั้นคิดว่าคงจะไม่รอดแล้ว” ถึงแม้ว่าจะรู้ผลเลือดมานานกว่า 15 ปีและเจ็บป่วยถึงขั้นแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ผู้ป่วยก็ไม่เคยบอกผลเลือดของตนเองให้ใครทราบ ซึ่งสาเหตุสำคัญคือกลัวถูกรังเกียจ ดิฉันจำได้ว่าครั้งแรกที่ผู้ป่วยมาติดต่อขอรับยาต้านไวรัสเอดส์ ผู้ป่วยลุกลี้ลุกลน สายตาวอกแวก ขาดความมั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ดิฉันเข้าใจได้ทันทีว่าผู้ป่วยรู้สึกกลัวความลับเรื่องการติดเชื้อของตนเองถูกเปิดเผย สู้อุตส่าห์เก็บความลับมาอย่างยาวนาน ด้วยใจที่อยากให้ผู้ป่วยยอมรับการรักษาก่อนที่จะสายเกินเยียวยา ดิฉันจึงพยายามสร้างความไว้วางใจโดยตกลงบริการว่า “ข้อมูลที่เราพูดคุยกันเป็นความลับ จะมีเพียงทีมผู้ดูแลเท่านั้นที่รู้ จะไม่มีการขุดคุ้ยถึงอดีตของผู้ป่วยให้ลำบากใจแต่จะขอข้อมูลที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการดูแลและรักษาต่อไป” ผู้ป่วยเริ่มผ่อนคลายลงและบอกกลับดิฉันว่า “พยายามจะไปรักษาให้ไกลบ้านเพราะกลัวเจอคนรู้จักเวลามาโรงพยาบาล แต่ที่ต้องมาวันนี้เพราะว่าหมอที่กรุงเทพฯบอกว่าต้องมารับยาต้านไวรัสตามสิทธิ์การรักษา ไม่มีเงินซื้อยารับประทาน เพราะตอนนี้ไม่ได้ทำงาน กว่าจะตัดสินใจมาตามที่หมอบอกก็คิดอยู่นาน ไม่อยากให้ใครรู้” ช่วง 2-3 เดือนแรกของการรักษา ผู้ป่วยมารับบริการตามนัดทุกครั้ง แต่มาแบบหลบ ๆ ไม่สบตาใครรีบมา รีบไป ไม่พูดคุยกลับเพื่อนผู้ติดเชื้อฯ ดิฉันจะให้บริการปรึกษาทุกครั้งที่ผู้ป่วยมาตามนัดเพื่อสร้างความร่วมใจในการรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง และการให้บริการปรึกษาเพื่อการเปิดเผยผลเลือด เพื่อหาผู้ดูแล และจะได้ไม่ต้องหลบซ่อนการกินยา ผู้ป่วยบอกว่า “ไม่รู้จะบอกใคร และไม่กล้าบอกใคร” ดิฉันจึงให้ผู้ป่วยนั่งคิดว่า “ใครคือคนที่คุณรัก และรักคุณที่สุด” ผู้ป่วยบอกว่า “มีพี่สาวที่ไม่ได้แต่งงานอยู่บ้านเดียวกัน” หลังจากนั้นไม่นานผู้ป่วยมาติดต่อขอไปรักษาที่อื่นอ้างว่าทะเลาะกับพี่สาว มีปัญหาในครอบครัว ระหว่างพูดคุยกัน ผู้ป่วยร้องไห้และบอกว่า “ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยผลเลือดของตนเองกับใคร” ดิฉันจึงให้กำลังใจและบอกผู้ป่วยว่า “คุณสามารถทำได้และดิฉันเชื่อว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น ไม่ต้องรู้สึกหวาดระแวงอีก แต่เราจะรอจนกว่าคุณจะพร้อม แล้วจึงนัดให้คุณพาญาติมาโรงพยาบาลและแจ้งผลที่ห้องนี้ ดิฉันจะอยู่ข้างๆคุณเวลาที่คุณแจ้งผลเลือดกับญาติ ถ้าคุณยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร” หลังจากผู้ป่วยกลับไปผู้ป่วยโทรศัพท์กลับมาบอกว่าจะพาเพื่อนบ้านมา ดิฉันจึงถามผู้ป่วยว่า “คุณแน่ใจว่าเขารักคุณที่สุดใช่หรือไม่ ถ้าใช่ ก็สามารถแจ้งได้” ผู้ป่วยไม่ตอบว่าอะไร แต่บอกว่า “จะมาพบในวันรุ่งขึ้น” เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ป่วยมากับหญิงชรา วัย 70 ปี แล้วก็แนะนำว่าเป็นมารดาของตนเอง ระหว่างที่ดิฉันประเมินความพร้อมของมารดาถึงการรับฟังผลเลือดของลูกชาย สังเกตได้ว่ามารดาของผู้ป่วยรักผู้ป่วยมากบอกว่า “ผู้ป่วยเป็นลูกชายคนเล็ก” เมื่อมารดาพร้อมจึงบอกให้ผู้ป่วยแจ้งผลเลือด มารดายอมรับโดยไม่รู้สึกตกใจใด ๆ ทั้งสิ้น และยังบอกอีกว่า “จะพาคนอื่นมาได้ยังไงเดี๋ยวเขาก็รู้กันหมด บอกแม่น่ะดีแล้ว จะได้ช่วยกันดูแล” จากการติดตามผลหลังจากการเปิดเผยผลเลือดวันนั้นผู้ป่วยมาตามนัดทุกครั้ง สดชื่นขึ้น ไม่มีร่องรอยของความกังวลใจ กล้าสบตา กล้าพูดคุยมากขึ้น และผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้นตามลำดับ ไม่มีปัญหาสุขภาพใดๆ ดิฉันรู้สึกดีใจ และเป็นสุขที่เป็นตัวกลางทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจ ยอมรับการเจ็บป่วย และตั้งใจดูแลรักษาตัว เพื่อชีวิตที่ยืนยาวต่อไป
มารดายอมรับโดยไม่รู้สึกตกใจใด ๆ ทั้งสิ้น และยังบอกอีกว่า “จะพาคนอื่นมาได้ยังไงเดี๋ยวเขาก็รู้กันหมด บอกแม่น่ะดีแล้ว จะได้ช่วยกันดูแล”
(^__^)
พลังแห่งความรัก ทำให้หลายสิ่งอย่างในชีวิตดีขึ้น
ขอขอบคุณ คุณka-Poom มากค่ะ ทีเห็นถึงความงดงามของเรื่องเล่า อยากจะบอกกใครสักคน
เข้ามาทักทายและให้กำลังใจคนทำงานค่ะ
อดทนต่อความลำบากในชีวิตการทำงานของเราที่ต้องให้กำลังใจผู้ป่วย ใช้ทั้งแรงกายแรงใจนะคะ