ระบาดวิทยาเบื้องต้น
Introduction to Epidemiology
Epidemic หมายถึง " โรคระบาด "
หมายถึง Study = Knowledge
Epidemiolgy จึงหมายถึง
"การศึกษาการเกิดโรคระบาด"
ระบาดวิทยา หมายถึง การศึกษาการกระจาย การเกิดขึ้น และสิ้นสุด และการเคลื่อนที่ของโรคในกลุ่มประชากรสัตว์ เป็นการศึกษาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคในกลุ่มประชากรสัตว์
------------------------------------------------------------------------------
Epizootiology
Epidemiology ใช้เมื่อประชากรที่ทำการศึกษาเป็นมนุษย์
Epizootiology ใช้เมื่อประชากรที่ทำการศึกษาเป็นสัตว์
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทางสัตวพทย์สาธารณสุข จะมีความเกี่ยวข้องกับทั้งมนุษย์และสัตว์ ในเรื่อง -โรคสัตว์ติดต่อคน Zoonosis
-โรคที่เกิดจากประกอบอาชีพ (Occupational disease)
-โรคที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ เช่น Salmonellosis
เพื่อมิให้มีความยุ่งยาก คำทั้งสองคำมีความหมายคล้ายคลึงกัน สามารถใช้ Epidemiology แทน Epizootiology ได้
------------------------------------------------------------------------------
นิยามคำศัพท์
Endemic (โรคประจำถิ่น) หมายถึง การเกิดโรคที่เกิดขึ้นโดยมีความถี่ของการเกิดปกติในประชากรกลุ่มหนึ่ง เป็นโรคที่ระบาดในท้องถิ่นนั้นๆ อาจเป็นแค่จังหวัดหรือประเทศของเรา
ตัวอย่าง -โคเนื้อที่เลี้ยงในหมู่บ้านรอบๆ หนองหาร ที่เลี้ยงในสภาพปกติแล้วจะติดพยาธิตัวกลมและอัตราการติดโรคพยาธิชนิดนี้ 80% เป็นการเกิดโรคที่พบได้โดยปกติ (Endemic level)
Epidemic (โรคระบาด) หมายถึง การเกิดขึ้นของโรคโดยมีความถี่ของการเกิดที่ผิดปกติในประชากรกลุ่มหนึ่ง เป็นโรคที่ระบาดออกไปเป็นวงกว้าง อาจเป็นหลายๆ ประเทศหรือ ทั่วภูมิภาคก็ได้
ตัวอย่าง -พบการเกิดโรคปากและเท้าเปื่อย(Foot and mouth disease) ในโคขุน ที่เลี้ยงเพื่อส่ง สหกรณ์ฯโพนยางคำ เขตพื้นที่ จังหวัด นครพนม หนองคาย และสกลนคร สูงกว่าปกติ ในช่วงฤดูฝน
Pandemic หมายถึง การระบาดของโรคแบบ Epidemic แต่ลุกลามไปยังหลายๆประเทศ หรือหลายๆทวีป เป็นโรคที่ระบาดไปทั่วโลก
ตัวอย่าง การระบาดของโรคไข้หวัด สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกในขณะนี้
Sporadic หมายถึง การเกิดของโรคในกลุ่มประชากรที่โรคดังกล่าว โดยปกติแล้วจะไม่พบในประชากรกลุ่มนี้
ตัวอย่าง -การตรวจพบโรค Blue tongue และ Caprine arthritis/encephalitis(CAE) ในแพะ ฟาร์มตัวอย่างที่อำเภอคำตากล้า จ.สกลนคร
------------------------------------------------------------------------------
ประโยชน์ของการสอบสวนทางระบาดวิทยา
-----------------------------------------------------------------------------
ประวัติของวิทยาการระบาด
นักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาการระบาดวิทยา ที่สำคัญๆ มีดังต่อไปนี้
1.ฮิบโปเครติส (Hippocrates) ในระหว่าง 460-377 ปีก่อนคริสตกาล
-เป็นบิดาแห่งวิชาอายุรศาสตร์
-ให้คำจำกัดความของคำว่าโรค (Disease)
แนวคิด -เชื่อว่าหากทราบรายละเอียดที่ถูกต้องเกี่ยวกับ อาการของโรคแล้ว จะสามารรถให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผล ในการพยากรณ์และการรักษาได้
-โรคสามารถเกิดได้กับคนจำนวนมาก เช่นเดียวกับการเกิดโรคเป็นรายบุคคล
- บันทึกการเกิดโรคแบบต่างๆ ที่มีความเกี่ยวพันกับปัจจัยสิ่งแวดล้อม เช่น สถานที่ ภูมิอากาศ สภาพน้ำ ที่อยู่อาศัยและอาหารการกิน (แนวคิดนี้ได้รับการยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน)
-ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดโรค คือ ความไม่สมดุล ของ ธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ไหลเวียนในร่างกาย (เป็นแนวคิดที่ไม่มีเหตุผลในปัจจุบัน)
2. จิโรลาโม แฟรคตาสโตโร (Girolamo Fractostoro) ค.ศ. 1483-1553
-เป็นคนแรกที่พิจารณาถึงแนวคิดในเรื่อง ของการติดต่อของโรค
-โดยเฉพาะโรค "French disease" ติดต่อได้โดยการสัมผัสและมีอนูเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นตัวถ่ายทอดการเกิดโรค (โรคซิฟิลิส)
3.จอห์น กรอนท์ (John Graunt ) ค.ศ. 1620-1674
- ศึกษาอัตราการตายของทารกและการเปลี่ยนแปลงของประชากรที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างๆในการเกิดกาฬโรค
4.โธมัส ไซเดนแฮม (Thomas Sydenham) ค.ศ. 1624-1689
-รื้อฟื้นทฤษฎีเกี่ยวกับองค์ประกอบของการระบาดของโรคและความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ เช่น ฤดูกาล อายุ และ ปี ต่อการเกิดโรค
5.แลนคิซี่ (Lancisi) ค.ศ. 1654-1720
-ได้รับมอบหมายให้ทำการสอบสวนการระบาดของโรค Rinderpest
-พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับการระบาดของโรค
-สมมติฐานของเขาอยู่บนพื้นฐาน ของการสังเกตในทางระบาดวิทยา และนำไปสู่ การแนะนำให้ให้นำนโยบายการทำลยสัตว์ ( Slaughter policy ) มาใช้
6.เจนเนอร์ (Edward Jenner) ค.ศ. 1749-1823
-เป็นคนแรกที่นำแนวคิดเกี่ยวกับภูมิต้านทานโรคมาเผยแพร่ในยุคแรกของวิทยาการระบาด
-พบว่ามีภูมิค้มกันโดยธรรมชาติของโรคฝีดาษในวัว (Cow pox) ต่อโรคฝีดาษในคน นำไปสู่การให้วัคซีนที่ทำจากเชื้อฝีดาษวัวแก่คนเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ
-ผลงานของ Jenner ทำให้เห็นว่า ถึงแม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค เราสามารถหาวิธีการป้องกันโรคได้ หากมีวิธีการทางระบาดวิทยาที่ดี
ยกตัวอย่าง กรณี ปี 1806 ในเขตสแกนดิเนเวีย มีการค้นพบว่าโรคพิษสุนัขบ้าสามารถติดต่อได้โดยน้ำลาย จากข้อมูลนี้นำไปสู่มาตรการต่างๆในการควบคุมโรค และก็สามารถทำสำเร็จได้ใน อีก 20 ปี ต่อมา ทั้งๆที่ยังไม่ทราบว่า โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อ Rhabdovirus ซึ่งยังผลให้สามารถควบคุมโรคได้จนกระทั่งปัจจุบัน
7. จอห์น สโนว์ (John Snow) ค.ศ.1813-1858
-สังเกตการระบาดของโรคอหิวาตกโรค ซึ่งเกิดขึ้นในอังกฤษซึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1854 เขาตั้งสมมติฐานว่าโรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับการดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อนกับอุจจาระ
8.หลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteru) ค.ศ. 1822-1895
-ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาจุลชีววิทยาสมัยใหม่
-ค้นพบว่าการหมักเกิดจาก จุลชีพ (Micro organism)
-ผลงาน ได้แก่ การควบคุมโรคแอนแทรกซ์ (Anthrax) และ โรคพาสุนัขบ้า (Rabies) โดยการใช้แนวคิดทางวิทยาการระบาด ถึงแม้จะยังไม่สามารถแยกเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคได้
-เป็นผู้บัญญัติคำว่า Vaccine เพื่อเป็นเกียรติแก่ Jenner ที่ค้นพบก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับโรคฝีดาษ
9.โรเบิร์ต ค็อก (Robert Koch) ค.ศ. 1843-1910
-จากการค้นพบของ Louis Pasteru กระตุ้นให้คน คิดว่าโรคทั้งหมดเกิดจากการติดเชื้อ และเชื้อที่สำคัญที่สุดก็คือ แบคทีเรีย
-ค้นพบเชื้อ ที่เป็นสาเหตุของโรค วัณโรคและ อหิวาตกโรค
10.วิลเลี่ยม ฟาร์ม (William farm) ค.ศ. 1839-1879
-ได้รับการยอมรับในเรื่องการใช้สถิติเข้ามาใช้ในทางการแพทย์
ไม่มีความเห็น