เกิด 4 ธันวาคม 2465 กรุงเทพมหานคร
บุตร ขุนตำรวจเอก พระมหาเทพกษัตรสมุห (เนื่อง ชาคริก) กับคุณสนิท ภมรสูต
สมรส กับนางสาวกัลยา มนตริวัต (บุตรพลตำรวจตรี ขุนพิชัย มนตรี อดีตหัวหน้าเสรีไทยค่ายกาญจนบุรี)
การศึกษา เริ่มต้นชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนสามเสนวิทยาคาร
พ.ศ.2483 เข้าศึกาวิชาเกษตรกรรมที่โรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ เชียงใหม่ เริ่มสนใจกล้วยไม้
พ.ศ.2490 จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (บางเขน) และเริ่มงานวิจัยกล้วยไม้ไทย
พ.ศ.2496 เริ่มโครงการฝึกนิสิตให้ทดลองปลูกกล้วยไม้
พ.ศ.2500 เป็นอาจารย์สอนวิชากล้วยไม้ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พ.ศ.2506 ได้รับเชิญไปบรรยายทางวิชาการที่ประชุมกล้วยไม้โลก
พ.ศ.2513 ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ โดยไม่ผ่านตำแหน่งผู้ช่วย และรองศาสตราจารย์
พ.ศ.2530 ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
พ.ศ.2521 เป็นประธานจัดการประชุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ 9 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
พ.ศ.2522 ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พ.ศ.2523 ลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ
พ.ศ. 2545 เป็นวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในงานกิจกรรมสัมมนาการประชุมวิชาการและผู้บรรยายพิเศษ เป็นที่ปรึกษาโครงการพัฒนาที่เน้นชนบทและเยาวชน ปลูกฝังเนื้อหาคุณธรรมและจริยธรรม โดยยึดแนวทางพัฒนาที่พึ่งพาตนเอง
เรื่องย่อ
เนื้อหาในหนังสือเรื่อง วิญญาณใต้ร่มนนทรี แบ่งเป็น 11 เรื่องย่อยในหนังสือ 1 เล่ม ซึ่งจะขอสรุปเนื้อเรื่องย่อ 1 เรื่อง คือเรื่อง ควายเพื่อนรักของฉันเธอหายหน้าไปไหนกันหมด
ชีวิตฉันมั่นคงอยู่กับความรักพื้นดินอย่างมีความสุขมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนกระทั่งถึงขณะนี้ อายุตัวเองำด้ล่วงเข้า 80 ปีแล้ว ถ้าเปรียบก็เหมือนกับเรือลำหนึ่งซึ่งกำลังแล่นใกล้ฝังเข้าไปทุกที แต่แทนที่จะกลัวความตาย กลับรู้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ชีวิตนี้ตนได้ผ่านการเรียนรู้ มาอย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว
สิ่งหนึ่งซึ่งฉันเกิดความรู้สึกขึ้นในใจอย่างเป็นธรรมชาติ เริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับความหลากหลายของสัตว์และชีวิตต่าง ๆ ก็คือ ควาย อันถือเป็นชีวิตหนึ่งซึ่งอยู่ในวิญญาณความรักของฉันมาตลอด แต่หลังจากที่ช่วงผ่านพ้นมาได้ช่วงหนึ่งมันทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นในใจว่าควายเพื่อนรักของฉันเธอหายหน้าไปไหนกันแทบจะหมด
ควานเคยชินซึ่งมีอยู่ในใจฉันมานานพอสมควร จนกระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกในใจตัวเองว่า ควายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ฉันควรให้ความเมตตาจากใจจริง อันถือเป็นหน้าที่ของความเป็นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควายคือชีวิตลักษณะหนึ่ง ซึ่งอยู่ร่วมผืนแผ่นดินเดียวกัน โดยที่เชื่อว่า แต่ละคนผู้รักศักดิ์ศรีความเป็นคน ควรให้ความรักความเมตตาแก่ชีวิตทุกรูปแบบ
สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นถึงธรรมชาติที่แท้จริงซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันกับผืนแผ่นดินไทยอันยาวนาน ตั้งแต่อดีตเรื่อยมาก็คือควาย แต่ในปัจจุบันนี้ควายที่เป็นชีวิตหนึ่งเริ่มจะมีให้เห็นน้อยลงทุกวัน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าในยุคปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนาหันมาใช้เครื่องจักรกลและสิ่งทุ่นแรงในการทำประโยชน์หรือแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองอันจะนำมาซึ่งความสะดวกสบายของตนเองและครอบครัว จึงทำให้สังคมไทยในปัจจุบันนี้เกิดความห่างเหินไม่ยึดถือแนวประเพณีดั้งเดิม บรรยากาศดั้งเดิมตามท้องไร่ท้องนาเริ่มเลือนลางจางหายไปจากจิตรใจของคนไทย บรรยากาศชายทุ่งที่ทำให้มีโอกาสได้พบกับสัตว์ที่เรียกว่าควาย ซึ่งผู้แต่งบรรยายถึงลักษณะของควายได้อย่างเห็นภาพที่ค่อนค่างชัดเจน ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกถึงความรักและความเมตตาต่อสัตว์ชนิดนี้เป็นอย่างมาก รวมทั้งอธิบายให้ทราบถึงลักษณะการทำงานของสัตว์ชนิดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูทำนา เริ่มต้นตั้งแต่การไถ่ดะ ไถ่แปร ลากคราดเก็บหญ้ามาปล่อยไว้ตามริมคันนาให้กลายสภาพเป็นปุ๋ยธรรมชาติ
มาถึงช่วงหลังๆ คนต่างชาติซึ่งรากฐานจิตใจไม่ได้ผูกผันอยู่กับผืนแผ่นดินนี้ แม้มีความฉลาด แต่ก็ขาดคุณธรรมและเมตตาธรรม ได้นำเอาเครื่องจักรกล ซึ่งเกิดจากพื้นฐานวัฒนธรรมของพวกเขาเข้ามาเผยแพร่ ส่งผลมอมเมาทำให้เราซึ่งเป็นคนที่เคยมีจิตวิญญาณผูกพันอยู่กับท้องถิ่น เริ่มต้นลืมตัว ทำให้คนไทยขาดจิตสำนึก แม้ชีวิตสัตว์ที่เรียกว่า ควายซึ่งทำหน้าที่รับใช้เพื่อสนองประโยชน์สุขอย่างถึงรากฐาน ก็ยังถูกลืมไปจากหัวใจได้ลงคอ
ยิ่งถูกคนต่างชาตินำเอากระแสความทันสมัยเข้ามาหลอกล่อ ให้จำต้องสูญเสียเงินทองและความรักความผูกพันอยู่กับท้องถิ่นซึ่งเคยมีอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งความรักความเมตตา ซึ่งคนผู้เป็นเจ้าของเคยมอบให้กับควายมาก่อนจากช่วงเวลาอันยาวนาน
ในที่สุดก็พบความจริงจากผลการเปลี่ยนแปลงของรากฐาน จิตใจคนท้องถิ่นว่า เขาส่งควายเข้าโรงฆ่าสัตว์อย่างเลือดเย็นที่สุด หรือไม่ก็ขายให้คนชาติอื่นนำไปฆ่าเป็นอาหาร
หวนกลับมาดูพื้นดินของเราเอง ก็ได้เปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรกลแทนดังที่เห็นกันอยู่ในช่วง หลัง ๆ แทบทุกแห่งหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลสนองประโยชน์ แก่คนต่างชาติทั้งด้านล่างและด้านบน
ในจะต้องเสียเงินค่าน้ำมัน ไหนจะค่าสึกหรอ สารพัดอย่าง ซึ่งต้องจ่ายให้คนอื่น แถมยังมีค่าปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และยาฆ่าหญ้าแทรกมาด้วย ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติในตัวเองก็คือ โรงงานผลิตปุ๋ยและรถตัดหญ้า ชาวนาไทยจึงจำต้องมีหนี้สินล้นพ้นตัวหนักมากยิ่งขึ้น คนไทยทั้งชาติจึงจำต้องกลายเป็นลูกหนี้คนต่างชาติ ชนิดที่ว่าดิ้นไม่หลุดมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ในช่วงอดีตผ่านมาคนไทยไม่ลืมตัว ลืมคุณค่าของควายซึ่งให้มาในอดีต จนกระทั่งในปัจจุบันคนไทยนำควายไปฆ่าหรือไปขายเอาเงิน จึงแสดงให้เห็นว่าการทำนาของไทยคงไม่สูญเสียเงินทองมากกว่านี้ ถ้าเครื่องจักรกลเหล่านั้นคือควาย ซึ่งนอกจากจะไม่เสียค่าซ่อม จนกระทั่งพังแล้วซื้อใหม่ แถมแรงงานที่มีชีวิตชีวา ยังสามารถขยายพันธุ์ให้เพิ่มมากขึ้นได้ นอกจากนั้นแล้วพืชจำพวกหญ้าต่าง ๆ ภายในทุ่งนา น่าจะได้ทำหน้าที่แทนน้ำมันเชื้อเพลิง แถมยังเปลี่ยนสภาพมาเป้นปุ๋ยคืนลงสู่ผืนนาได้อีกด้วย
คนไทยในช่วงก่อน ๆ เคยมีน้ำใจต่อกันรวมทั้งมีเหตุผลในการกระทำ ไปถึงเรื่องของปัจจัยสี่ทำให้แต่ละคนใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ซึ่งช่วงนั้นคนท้องถิ่นยังไม่หลงอยู่กับความฟุ้งเฟ้อมากนัก หากอยู่ในสภาพที่อาจกล่าวได้ว่า พอมีพอใช้ ไม่ต้องไปวิ่งกู้หนี้ยืมสินใคร จึงไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัว นอกจากนั้น ยังมีพลังใจที่มุ่งมั่นทำงานอยู่กับผืนดินอย่างรู้คุณค่า ความคิดเป็นสิ่งบ่งบอกถึงทิศทางที่นำไปสู่การสร้างสรรค์หรือทำลายรากฐานจิตใจตัวเอง
หากสามารถคิดกลับทิศทางยิอมมองเห็นความจริงได้เองอย่างอิสระว่า ยิ่งน้อมกายลงต่ำอย่างมีความสุข ย่อมยิ่งรู้สึกได้เองถึงคุณค่าสูงขึ้น เมื่อนั้นแหละ สังคมไทยจึงจะกลับฟื้นคืนสภาพปกติเช่นแต่ก่อน อีกทั้งยังช่วยให้มั่นคงอยู่ได้ตลอดไป
วิเคราะห์เนื้อเรื่อง
จากเนื้อเรื่องย่อข้างต้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่ถูกใช้แรงงานมาในสมัยอดีต โดยเฉพาะได้สร้างคุณประโยชน์ต่อชาวนาไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งเนื้อเรื่องได้บอกถึงบรรยากาศในอดีตที่คนไทยมีความผูกพันกับควายในแง่ของการทำไร่ทำนา ลักษณะคล้าย ๆ เหมือนกับเป็นตัวช่วยของชาวนาให้ได้ผลิตผลที่เป็นข้าวออกมาให้ได้รับประทานหรือนำไปขาย อีกทั้งยังไม่สร้างมลพิษให้กับสภาวะแวดล้อม สร้างประโยชน์ให้กับสภาพดิน ทำให้ระบบนิเวศไม่ถูกทำลาย คงสภาวะที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของทั้งมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า ควายกับชาวนาไทยมีความผูกพันกันมาตั้งแต่อดีต และเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สังคมการทำนาไทยแบบดั้งเดิม เกิดความเสื่อมสลายหายไป เนื่อจากปัจจัยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากร การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้ คนไทยจำยอมต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม เพราะมิฉะนั้นอาจจะทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมได้ในระยะยาว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติมาทั้งหมด จำเป็นที่จะต้องนำรูปแบบหรือวัฒนธรรมต่างชาติมาประยุกต์ให้เข้ากับสังคมไทยให้ได้มากที่สุด โดยไม่ทำให้วัฒนธรรม ความผูกพันธ์ระหว่างชาวนาไทยกับควายเกิดความห่างเหิน โดยไม่เอาใจใส่กับควายไทยเลย
แนวคิดที่สำคัญเนื้อหาดังกล่าว
-ด้านวัฒนธรรมไทย โดยเนื้อหาทำให้ทราบถึงวัฒนธรรมไทยที่มีความผูกพันกับ การทำนามาตั้งแต่อดีต โดยมีชาวนาและควายเป็นตัวขับเคลื่อนให้คนไทยได้บริโภคข้าว ที่เป็นสินค้าเกษตรกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมาก และวัฒนธรรมของคนไทยตั้งแต่อดีตยึดอยู่กับความพอเพียง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน โดยไม่ยึดติดกับเงินทอง วัตถุ ดังเช่นปัจจุบัน จึงทำให้ทราบถึงมิติด้านเวลาของวัฒนธรรมไทยว่า มิติในอดีตนั้นคนไทยมีความเป็นเอกภาพความเป็นหนึ่งเดียวมากกว่าในปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด กาลเวลาทำให้สังคมที่เป็นไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมพอสมควร
- ด้านการใช้แรงงานสัตว์ในอดีต ซึ่งจากเนื้อหาทำให้ทราบถึงสัตว์ที่มีความสำคัญกับชาวนาไทยในอดีต ก็คือควาย ที่คอยรับฟังคำสั่งจากชาวนาที่ควบคุมให้ควายไถนา ไปตามวิถีทางที่กำหนด ซึ่งก็ถือว่าเป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ของการทำนาของไทย โดยไม่ถือว่าเป็นการใช้แรงงานสัตว์เพราะสัตว์ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวนา แต่ถ้าพูดถึงในปัจจุบันนี้อาจจะเป็นการปฏิเสธได้ยากว่า ถ้าใช้ควายไถนาจะไม่ใช่เป็นการใช้แรงงานสัตว์เหมือนดังเช่นในอดีต จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไม่เห็นควายเดินไถนาในทุก ๆ ที่ของการทำนาในประเทศไทย
- ด้านชาวนาไทย ในเนื้อหาทำให้ทราบถึงแนวคึดในความเป็นอาชีพชาวนาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงความคึดของตัวเอง จากความคึดดั้งเดิม ไปเป็นความคึดในลักษณะใหม่ จากที่เคยมีความผูกผันกับท้องไร่ท้องนาจูงควายไปทุ่งนาทุกเช้า โดยสัมผัสกับธรรมชาติของท้องนาอย่างแท้จริง กลับกลายความคึดเป็นการทำนาเพื่อหวังผลประโยชน์อันจะนำมาซึ่งหนี้สินล้นพ้น ทำเกิดเป็นปัญหาหนี้สินมากมายในปัจจุบัน รายได้ไม่พอกับรายจ่ายวิถีชีวิตความพอเพียงเลือนหายไปจากความคึดของชาวนาไทย จากที่เคยทำนาปลูกข้าวไว้กินเฉพาะครัวเรือน กลับกลายเป็นการทำนาเพื่อสร้างหนี้สินให้กับตัวเอง (ทำนาเพื่อใช้หนี้) จิตวิญญาณของชาวนาไทยจึงเริ่มเลือนหายไปจากความคึดมากขึ้นทุกที
-ด้านเทคโนโลยี เราจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเราไม่ได้นำเอาเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาใช้ ลักษณะที่เด่นชัดของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีคือ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลกระทบในด้านบวกกับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลกระทบในด้านลบ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงในด้านบวกต่อวิถีชีวิตการทำนาของคนไทยคือ การนำรถไถมาใช้ในการไถนาแทนควายซึ่งก็มีที้งรถไถขนาดใหญ่และรถไถเดินตามมีผลทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการไถนาไม่ว่าจะเป็นการไถดะ หรือไถแปร ทำให้ง่ายและรวดเร็วต่อการปลูกข้าวไม่ว่าจะเป็นนาดำหรือนาหว่าน ส่วนผลกระทบที่เกิดในแง่ลบก็คือทำให้ชาวนาไทยต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมารถไถเพื่อมาไถนาของตนเองและในส่วนของชาวนาที่มีรถไถเดินตามหรือรถไถขนาดใหญ่เป็นของตนเองก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่นและค่าซ่อมบำรุงรักษาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังสร้างมลพิษให้กับอากาศทำให้อากาศในท้องไร่ท้องนาที่บริสุทธิ์เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านลบต่อสิ่งมีชีวิต
-ด้านการอนุรักษ์บรรยากาศดั้งเดิมของการทำนาในประเทศไทย จากเนื้อหาผู้แต่งต้องการสื่อให้เห็นว่า ณ ปัจจุบัน ความคิดจิตวิญญาณของชาวนาไทยเริ่มไม่มีความสนใจในคำว่า ความรักใคร่กลมเกลียวความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ภาพเก่าๆ บรรยากาศเก่าๆ ที่เห็นชาวนาเดินจูงควายไปทุ่งนาเห็นหญ้าและพืชต่างๆ ซึ่งมีสีเขียวชะอุ่ม ขึ้นอยู่ริมคันนา และเห็นชาวนากำลังบังคับควายให้ไถนาไปตามวิถีทางที่ชาวนากำหนด ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างที่จะหาดูหาชมได้อยาก ดังนั้นตามแนวความคึดของผู้แต่งที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดในปัจจุบันคงจะต้องเป็นการให้การสนับสนุนไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อให้เป็นที่เป็นการอนุรักษ์การทำนาของไทยโดยภาครัฐจะต้องเข้ามาให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ปลูกฝังให้ชาวนาในสถานที่แห่งนั้นทำนาตามแบบฉบับดั้งเดิมให้เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เลือนหาย เป็นตัวแทนของบรรยากาศเก่าๆดั้งเดิมให้คนไทยได้ชื่นชมตลอดไป
-ด้านการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ในปัจจุบันนั้นคนไทยยังมีความต้องการบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักในแต่ละวันจึงทำให้ข้าวเป็นอาหารหลักที่สำคัญของคนไทย จุดที่สำคัญคือปริมาณกรเพิ่มขึ้นของประชากรชาวไทยจึงทำให้ความต้องการในการบริโภคข้าวเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรเช่นกัน ดั้งนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องผลิตข้าวออกมาเป็นจำนวนมากตามปริมาณการเพิ่มขึ้นของประชากรไทย ไม่เพียงแต่บริโภคภายในประเทศเท่านั้นการผลิตข้าวยังต้องส่งออกไปยังต่างประเทศด้วย จึงเป็นผลทำให้ระบบการทำนาของไทยเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีมาช่วยมากขึ้นเพ่อให้ทันกับความต้องการบริโภคทั้งในและนอกประเทศ
แนวคึดต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งเป็นแนวคึดของผู้แต่งที่มีจุดเด่นในการนำเสนออยู่ตรงที่การใช้เทคนิคในการบรรยายให้เห็นถึงภาพของแนวคึดในเนื้อหา ที่มีการทำนา ชาวนา บรรยากาศในการทำนาและสัตว์ที่ช่วยในการทำนาคือควาย การนำเสนอแนวคึดของผู้แต่งมีการไล่เรียงแนวคึดได้อย่างมีความน่าสนใจโดยเริ่มจากการกล่าวถึงสิ่งที่มีชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์ ที่เป็นความเชื่อมโยงก่อให้เกิดภาพที่แสดงให้เห็นถึงความผูกผันระหว่างชาวนากับควาย ที่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของชาวนาไทยแบบดั้งเดิม และวัฒนธรรมไทยที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์หวงแหน
อย่างไรก็ตามผู้แต่งไม่ได้นำเสนอแนวคิดเฉพาะเพียงด้านของมุมมองในแง่บวกเท่านั้น แต่ผู้แต่งได้นำเสนอแนวคิดในด้านที่แย้งกับแนวคึดด้านบวกหรือแนวคิดที่ผู้แต่งอยากให้เป็น ซึ่งผู้แต่งได้เสนอแนวคิดที่แย้งกัน โดยกล่าวว่า คนไทยถูกคนต่างชาตินำเอากระแสความทันสมัยเข้ามาหลอกล่อให้จำต้องสูญเสียเงินทอง และความรักความผูกผันอยู่กับท้องถิ่นซึ่งเคยมีอยู่อย่างลึกซึ้งเป็นส่วนที่ทำให้มองเห็นภาพว่าการทำนาของไทยได้นำเอาเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุน ในการทำนาให้มีความสะดวกรวดเร็วและได้ผลผลิตตรงตามความต้องการ
วิเคราะห์กลวิธีการนำเสนอ
กลวิธีในการนำเสนองานเขียนของผู้เขียนผู้เขียนได้ใช้มุมมอง โดยผ่านการเล่าเรื่องจากการใช้สรรพนามแทนตัวผู้เล่าที่ใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งแทนตนเอง และแทนตัวสัตว์รวมทั้งมีการสอดแทรกบทร้อยกรองให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเป็นการนำเสนอความหมายทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ตัวอย่างเช่น
“ ฉันมีความรู้สึกอยู่ในใจว่า มันน่าจะเป็นบทเรียนให้มนุษย์แต่ละคนทราบเรื่องนี้ มีโอกาสหวนมาทบทวนตนเอง ซึ่งย่อมมีผลสอนใจให้รู้ว่า อย่าว่าแต่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองเลย แม้แต่สัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตและจิตใจ จึงไม่ควรคึดข่มเหงรังแก หากควรนึกถึง หัวอกเขา หัวอกเรา รวมทั้งบุญคุณ ซึ่งตัวเองได้รับประโยชน์จากเขาเข้าไว้บ้างเพื่อให้อยู่เป็นที่พึ่งพาอาศัยกันต่อไปนานๆ” การนำเสนอด้วยบทร้อยกรอง
เพื่อนกินสิ้นทรัพย์แล้ว แหนงหนี
หาง่ายหลายหมื่นมี มากได้
เพื่อนตายถ่ายแทนซี วาอาตม์
หายากฝากฝีไข้ ยากแท้ จักหา
ไม่มีความเห็น