ความเป็นมาและความสำคัญของการวางแผน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ได้กำหนดสาระเกี่ยวกับทรัพยากร และการลงทุนเพื่อการศึกษา หมวด 8 ดังนี้ “ ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยอาจจัดเก็บภาษีเพื่อการศึกษาได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์กร สถาบันต่าง ๆ ระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา โดยเป็นทั้งผู้จัดและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา บริจาคทรัพย์สินและทรัพยากรให้แก่สถานศึกษา ร่วมรับภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ให้รัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมและจูงใจ และใช้มาตรการลดหย่อนหรือยกเว้นภาษีให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับสถานศึกษาเพื่อการศึกษา ”
บทบาทและภารกิจโดยทั่วไปของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา คือ กำหนดนโยบายและแผนของสถานศึกษา การกำหนดทิศทางการดำเนินการของสถานศึกษา เพื่อการจัดทำแผนของสถานศึกษา โดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์เพื่อดำเนินการให้เกิดผลงานตามเป้าหมาย จะทำให้ทราบว่าจะต้องดำเนินโครงการกิจกรรมใดบ้างอันจะเป็นแนวทางในการเสาะแสวง หรือการกำหนดทรัพยากรที่จะต้องใช้ในสถานศึกษา กำหนดทรัพยากรที่ต้องการ จากแผนยุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการของสถานศึกษา ผู้บริหารจะต้องรวบรวมความต้องการด้านทรัพยากร เพื่อจัดทำแผนงานหรืองบประมาณที่ต้องการ ซึ่งต้องคำนึงถึงลำดับความของโครงการหรือกิจกรรมที่จะต้องทำให้ชัดเจน การแสวงหาทรัพยากร บทบาทหน้าที่สำคัญของผู้บริหารสถานศึกษาประการหนึ่งก็คือ การแสวงหาและระดมทุนและทรัพยากรเพื่อใช้ในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของสถานศึกษา การแสวงหาและระดมทุนและทรัพยากรการศึกษาจะต้องแสวงหาจากแหล่งทรัพยากรที่หลากหลาย การจัดสรรทรัพยากร ทรัพยากรที่ได้มานั้น ผู้บริหารจะต้องดำเนินการจัดสรรให้สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของสถานศึกษาตลอดจนลำดับความสำคัญ ความพร้อมของโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย การใช้ทรัพยากรเป็นการ
2
ดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารจะต้องมีแผนการใช้และควบคุมดูแลการใช้ทรัพยากรให้ตรงตามวัตถุประสงค์ ประหยัด และ การประเมินผลการใช้ทรัพยากรเพื่อให้ทราบถึงประสิทธิภาพของการใช้ทรัพยากร ประสิทธิผลของทรัพยากร ความเหมาะสมเพียงพอของทรัพยากร ตลอดจนปัญหาอุปสรรคในการใช้ทรัพยากร เพื่อที่จะได้ข้อมูลสารสนเทศที่จะใช้ในการพัฒนาการบริหาร ทรัพยากรทางการศึกษาให้ได้ผลดียิ่งขึ้นต่อไป
ปัจจุบันสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ดังนั้น การดำเนินการด้านงบประมาณหรือทรัพยากรที่จะได้รับจากทางรัฐบาลจึงต้องดำเนินการผ่านเขตพื้นที่การศึกษา ยกเว้นรายได้ที่สถานศึกษาสามารถหาได้เองไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเช่นที่เคยเป็นมา สถานศึกษาจะมีฐานะเป็นหน่วยงบประมาณและหน่วยบริหารการเงินของตนเองแต่ยังมีเขตพื้นที่ดูแลอีกระดับหนึ่งเนื่องจากสถานศึกษาขั้นพื้นฐานแม้ว่าจะมีฐานะนิติบุคคลตามกฎหมาย แต่กฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ดังนั้นผลบังคับการกำกับดูแลด้านงบประมาณจะมีการปรับเปลี่ยนไป
สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ( 2544 : 318) ได้กล่าวถึงการปฏิรูประบบราชการไทย : แนวทางที่ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารและระบบสารสนเทศว่า สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่ต้องปรับปรุง คือ ระบบงบประมาณ คือ ปรับปรุงให้มีลักษณะการเน้นผลงานหรือผลลัพธ์ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการเสริมระบบการบริหารโดย
มุ่งผลสัมฤทธิ์ แต่ละหน่วยงานมีการกำหนดแผนกลยุทธ์ เป้าหมาย และ output / outcome ให้ชัดเจน รวมทั้งมีการกำหนดตัวชี้วัดการสัมฤทธิ์ผลของการใช้เงินด้วย เพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลการทำงานได้
อย่างไรก็ตาม สำนักงบประมาณได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดการงบประมาณเป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (Performance Based Budgeting : PBB) เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิผล มีความเป็นธรรม และมีความโปร่งใส ทั้งนี้ โดยเปลี่ยนแปลงจุดเน้นการบริหารงบประมาณจากการควบคุม
3
ประกอบการจัดทำงบประมาณของแต่ละแห่ง ในการปรับปรุงระบบการจัดการงบประมาณครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ให้หน่วยงานมีอิสระในการจัดการทรัพยากรได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร ส่วนสำนักงบประมาณจะเปลี่ยนบทบาท ไปทำหน้าที่วางแนวนโยบายการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติ
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ.2542 มุ่งเน้นให้หน่วยงานของรัฐดำเนินงานตามภาระหน้าที่โดยยึดหลักการพื้นฐาน 6 ประการ หนึ่งในหลักพื้นฐานดังกล่าวคือ หลักความคุ้มค่า หมายถึง การบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรที่มีจำกัด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม ...ทุกหน่วยงานจะต้องใช้งบประมาณอย่างประหยัด มีรายงานผลการทำงานและแสดงประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่อสาธารณะซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีความเข้าใจอย่างดีในเรื่องประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของโครงการ ( สำนักงาน ก.พ. , 2544 :24 )
ความสำคัญของการวางแผนปฏิบัติงาน
กระทรวงศึกษาธิการ ( 2540 : 111 ) กล่าวว่าแผนปฏิบัติงานเป็นเสมือนแผนที่ของการดำเนินงาน ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติทุกคนมองเห็นภาพการทำงานตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ และเห็นเป็นภาพเดียวกัน ทำให้เกิดความเข้าใจในเป้าหมาย องค์ประกอบ เนื้องานกำหนดเวลา ผู้รับผิดชอบ ความพร้อมในการปฏิบัติงาน และแนวทางการปฏิบัติงาน อันเป็นผลให้สามารถคาดคะเน หรือมีความคาดหวังผลสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ ตลอดจนคาดการณ์ปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ได้ล่วงหน้า การมีแผนปฏิบัติงานจึงเป็นการใช้นโยบายรุกแทนนโยบายรับ ผลสำเร็จของงานจะมีประสิทธิภาพสูง เกิดความสูญเปล่าน้อยที่สุด
การปฏิบัติงานทุกหน่วยงานทุกระดับตั้งแต่ระดับปฏิบัติจนถึงระดับนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐและเอกชน ได้มีการกำหนดจุดประสงค์ เป้าหมาย เพื่อให้คนในองค์กรรับทราบร่วมกันและกำหนดนโยบายเพื่อใช้เป็นแนวทางกว้างๆ เพื่อยึดถือเป็นหลักปฏิบัติงานให้บรรลุ จุดประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้
4
ในระดับหน่วยงานทางราชการทุกระดับก็มีการกำหนดนโยบายขึ้นมา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารงานหรือการปฏิบัติงานร่วมกัน หลังจากนั้นก็จะนำนโยบายซึ่งลักษณะนโยบายจะเป็นแนวทางกว้าง ๆ ระบุแต่เพียงทิศทางในการดำเนินงานเท่านั้น บุคลากรในองค์กรจึงยังไม่ทราบแนวปฏิบัติงานที่ชัดเจน ดังนั้นจึงมีการจัดทำแผนงาน โครงการ และกิจกรรมต่าง ๆ รองรับนโยบาย เพื่อนำนโยบาย เพื่อนำนโยบายไปปฏิบัติโดยใช้แผน โครงการเป็นเครื่องมือในการบริหารงาน นโยบายจึงเป็นเพียงแนวทางการดำเนินงาน เพื่อให้มีการนำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จ จึงเป็นเพียงแนวทางการดำเนินงาน เพื่อให้มีการนำนโยบายไปปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จจึงต้องจัดทำแผนรองรับ ซึ่งลักษณะของแผนนั้นจะระบุถึงสิ่งที่ต้องการ จะกระทำให้บรรลุผลหรือให้ประสบผลสำเร็จในอนาคตนั่นเอง แผนจึงประกอบไปด้วยแผนงานต่าง ๆ แยกย่อยตามภารกิจและขอบข่ายงานที่รับผิดชอบโครงการต่าง ๆ และกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งในส่วนของแผนงาน โครงการและกิจกรรมต่าง ๆ จะเป็นส่วนที่สำคัญในการนำเอานโยบายไปปฏิบัติให้ประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ดังนั้นนโยบาย แผน โครงการ จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องสอดคล้องกันและส่งผลกระทบซึ่งกันและกันดังกล่าว
การวางแผนเป็นกระบวนการหนึ่งของการบริหารงาน ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งใน การปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ทรัพยากรการบริหารที่มีอยู่อย่างจำกัด การวางแผนจึงมีประโยชน์ และมีความสำคัญต่อการบริหารงาน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ จึงถือว่าการวางแผนพัฒนาการศึกษามีความสำคัญ และความจำเป็นอย่างยิ่งในการจัดการศึกษาทุกระดับ การจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาจะมีคุณภาพได้ ขึ้นอยู่กับการวางแผนที่ดี มีระบบมีขั้นตอนและชัดเจน ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับมีความเข้าใจตรงกัน รู้แนวทางปฏิบัติและปฏิบัติได้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพตาม วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่วางไว้
การนำแผนพัฒนาการศึกษาระยะ 5 ปี และแผนพัฒนาประจำปีแต่ละปีมาจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี (Annual Operation Plan) ของโรงเรียนจึงเป็นการทำแผนลงสู่การปฏิบัติงานจริง ๆ หรือที่เรียกว่าเป็นการจัดทำแผนเพื่อการปฏิบัติการ (Operation Planning)
5
ดังนั้น การวางแผนในระดับโรงเรียนนับว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะโรงเรียนเป็นองค์การบริหารระดับปฏิบัติที่สำคัญที่สุด
จุดเน้นการวางแผนระดับโรงเรียนคือให้โรงเรียนจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปี โดยรวมทุกงานที่ต้องปฏิบัติทั้งเป็นงานประจำและงานที่ต้องการพัฒนาเพื่อให้การดำเนินงานและการบริหารงานมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ วัตถุประสงค์การจัดทำแผน ปฏิบัติการประจำปีของโรงเรียนประถมศึกษา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของหน่วยงาน โดยคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ได้นำมาใช้ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด ทั้งยัง สิ้นเปลืองทรัพยากรอีกด้วย
การดำเนินงานและการกำกับติดตามผล
การวางแผนในระดับโรงเรียน เป็นการรวมกำลังความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในหน่วยงาน โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากที่สุด ดังนั้นการวางแผนระดับโรงเรียนจึงเน้นการนำแผนไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จอย่างแท้จริง ซึ่งแผนดังกล่าวนั้นเรียกว่า แผนปฏิบัติการประจำปี เป็นแผนที่เชื่อมโยงและประสาน แผนพัฒนาการศึกษาระยะ 3 ปี 5 ปี แผนปฏิบัติการประจำปีจึงเป็นการนำเอาแผนงาน โครงการที่วางไว้ไปปฏิบัติให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงได้ การดำเนินงานและการประเมินการดำเนินงานจึงควรเป็นระบบดังนี้
6
(๑) ประเมินสภาพปัญหาและความต้องการ
(๒) ประเมินความเป็นไปได้ (ความพร้อม) ในการทำงานแก้ปัญหานั้น ๆ
(๓) ประเมินความสมบูรณ์ ความเรียบร้อยของแผน / โครงการ
ค – ๑ ลงมือปฏิบัติตามแผน
(๔) ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติงาน
ค – ๒ ดำเนินงานถึงครึ่งโครงการหรือสิ้นสุดโครงการ
(๕) ประเมินผลสรุปกึ่งโครงการหรือสิ้นสุดโครงการ
(๖) ติดตามผลระยะยาว
หมายเหตุ ขั้นตอน ก – ค คือ ขั้นตอนการทำงานเชิงระบบและขั้นตอน ๑ – ๖ คือขั้นตอนการประเมินเชิงระบบ
7
ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจึงมีบทบาท และหน้าที่ในการบริหารแผน / โครงการ ทั้งในด้านการเตรียมการ การมอบหมายงาน การอำนวยการ การติดตามงาน โดยปกติมักจะจัดทำเป็นคู่มือบริหารแผนงานและโครงการเป็นการเฉพาะในรูปของการติดตาม ควบคุมกำกับ และประเมินผล (Monitoring / Control and Evaluation) แผนการติดตามควบคุม กำกับ และประเมินผลซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญเพื่อติดตามดูแลและช่วยเหลือสนับสนุนให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงต่างๆของการปฏิบัติงาน (Corrective Actions) ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการรวบรวมข้อมูล เพื่อการประเมินทั้งโครงการและแผนงาน เพื่อทราบสถานภาพการปฏิบัติ ประสิทธิภาพการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อจะได้กำหนดวิธีการแก้ไขปรับปรุงแผนและโครงการ หรือใช้ข้อมูลสำคัญประกอบการพิจารณาในการจัดทำแผนใหม่ต่อไป
ผู้บริหารของหน่วยปฏิบัติการมีหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมกำกับดูแลหน่วยงานย่อยให้ทำหน้าที่ผลิต “ ผลผลิต ” ทั้ง 3 ประเภท ประกอบด้วย ผลผลิตหลัก ผลผลิตด้านการพัฒนาศักยภาพของหน่วยปฏิบัติการและผลผลิตด้านการพัฒนาระบบบริการ ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในข้อตกลงภายใน โดยการสั่งการ ประสานงานและกำกับดูแลติดตามผลการดำเนินกิจกรรมในกระบวนการผลิต “ ผลผลิต ” ของหน่วยงานย่อยอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ( จรัส สุวรรณมาลา , 2544 : 390)
ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้เขียนจึงได้นำเอาขั้นตอนการทำงานและการประเมินเชิงระบบมาปรับใช้ในการกำกับติดตามการบริหารแผนงานโครงการของโรงเรียนให้สะดวกและง่ายต่อการดำเนินงานซึ่งจะได้นำเสนอในบทต่อๆไป
ไม่มีความเห็น