ทัศนคติแบบสร้างสรร


ที่มา : forwarded mail

ได้รับจากน้องคนนึงเป็นภาษาอังกฤษ ขอแปลแบบง่ายๆ งูๆ ปลาๆ แบ่งปันให้อ่านกันค่ะ

-------------------------------------------------------------------------------------------


A blind boy sat on the steps of a building with a hat by his feet. He held up a sign which said: " I am blind, please help ."
เด็กหนุ่มตาบอดนั่งบนทางเท้าข้างตึก มีหมวกอยู่ด้านหน้าพร้อมกับป้ายเขียนข้อความว่า  "ผมตาบอด โปรดช่วยเหลือคนตาบอดด้วยเถอะ"

There were only a few coins in the hat.
มีเหรียญอยู่ในหมวกเพียงแค่ 2-3 เหรียญ เท่านั้น

A man was walking by. He took a few coins from his pocket and dropped them  into the hat.
ชายผู้หนึ่ง เดินผ่านมา เขาหยอดเงิน 2-3 เหรียญ ลงในหมวก

He then took the sign, turned it around, and wrote some  words.
ครั้นพอเขาเห็นป้าย ก็เดินกลับมา และเขียนเพิ่มคำบางคำ

He put the sign back so that everyone who walked by would see the new words.
แล้วเขาก็วางป้ายกลับลงที่เดิม ซึ่งทุกคนที่เดินผ่านไปมาได้อ่านข้อความใหม่ของป้ายนั้น

Soon the hat began to fill up. A lot more people were giving money to the blind boy..
ในไม่ช้าหมวยใบนั้นถูกเติมเต็ม ผู้คนมากมายให้เงินแกเด็กหนุ่มตาบอด

That afternoon the man who had changed the sign came to see how things were.
บ่ายวันนั้นชายคนที่เขียนป้ายให้ใหม่ เพื่อกลับมาดูความเปลี่ยนแปลง

The boy recognized his footsteps and asked, "Were you the one who changed my sign this morning? What did you write?"
เด็กหนุ่มตาบอกจำเสียงฝีเท้าของเขาได้ จึงถามขึ้นว่า ..คุณคือคนที่เปลี่ยนป้ายข้อความเมื่อเช้านี้ คุณเขียนอะไรหรือครับ

The man said, "I only wrote the truth. I said what you said but in a different way.
ชายหนุ่มกล่าวว่า... ผมเพียงแต่เขียนความจริง แต่บอกในสิ่งที่แตกต่างกันออกไป

'Today is a beautiful day and I cannot see it.'
"วันนี้ เป็นวันที่สวยงาม แต่ผมมองไม่เห็นมัน"

Do you think the first sign and the second sign were saying the same thing?
คุณคิดว่า ป้ายข้อความแรก และ ป้ายข้อความที่สอง บอกในสิ่งเดียวกันหรือไม่

Of course both signs told people the boy was blind. But the first sign simply said the boy was blind.
แน่นอน ป้ายข้อความทั้งสองอันบอกว่า เด็กหนุ่มตาบอด แต่ป้ายอันแรกบอกอย่างธรรมดาๆ ว่า เด็กตาบอด

The second sign told people they were so lucky that they were not blind.
ป้ายอันที่สอง บ่งบอกให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้รับรู้ว่า เขาเหล่านั้นช่างโชคดีเพียงใดที่ไม่ได้ตาบอด

Should we be surprised that the second sign was more effective?
ป้ายอันที่สองช่างสร้างความประหลาดใจและสั่นสะเทือนใจได้มากขนาดนี้


Moral of the Story: Be thankful for what you have. Be creative. Be innovative. Think differently and positively.
เืรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ มีความคิดสร้างสรร และมีมุมมองใหม่ รู้จักคิดให้แตกต่าง และมองโลกในแง่ดี


Invite others towards good with wisdom. Live life with no excuse and love  with no regrets. When life gives you a 100 reasons to cry, show life that you have 1000 reasons to smile. Face your past without regret. Handle your present with confidence. Prepare for the future without fear. Keep the faith and drop the fear.
สร้างสรรสิ่งดีๆ ก่อให้เกิดประโยชน์ด้วยสติปัญญา มีชีวิตอยู่อย่างเบิกบานโดยปราศจากเงื่อนไขและไม่จมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ ในขณะที่ชีวิตนึงมี 100 เหตุผลที่ทำให้ร้องไห้ จงมีชีวิตด้วย 1000 เหตุผลที่จะยิ้มได้อย่างเบิกบานใจ มองอดีตให้เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไป  อยู่กับปัจจุบันด้วยความมั่นใจ เตรียมพร้อมทึ่จะรับกับความทุกข์ที่จะมาถึง ดำรงไว้ซึ่งความศรัทธาและละทิ้งความกลัว

 



หมายเลขบันทึก: 263005เขียนเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 20:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท