หนังสือการ์ตูน ในฐานะสื่อที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางความรู้
ผมเคยเขียนเรื่องพิพิธภัณฑ์การ์ตูนเบลเยียม http://gotoknow.org/blog/poldejw/262765/ เล่าถึงความน่าสนใจของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ข้อความตอนหนึ่งว่า
“…………. มนุษย์ได้พัฒนาจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม วิถึชีวิตคนเปลี่ยนไป ชึวิตมีความกดดันมากขึ้น ความต้องการอ่านภาพการ์ตูนเพื่อผ่อนคลายจึงเกิดความสำคัญขึ้นมา กล่าวได้ว่าภาพการ์ตูนพัฒนามาพร้อมกับการพัฒนาสังคมของมนุษย์เลยทีเดียว ภาพการ์ตูนเป็นเพื่อนที่ดีของผู้อ่าน คอยปลอบใจ คอยให้กำลังใจ ทดแทนความผิดหวังและความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ในขณะเดียวกันก็สร้างความฝันและจินตนาการให้กับผู้อ่านทุกคนและทุกชนชั้นตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ ตั้งแต่กรรมกรจนถึงเศรษฐีโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ.........................”
ในข้อความข้างต้นนี้ ยังมีนัยที่สำคัญคือการ์ตูนนั้นเป็นสื่อหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาตั้งแต่โบราณกาล ในขณะที่ยังไม่มีสื่ออื่น(ที่ก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีเช่นสมัยนี้) ทำได้เท่าเทียมกันเลย
ในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี คศ.1896 ร้อยกว่าปีมาแล้ว ด้วยการที่มีคนเชื้อชาติต่างๆ จากหลายถิ่นอพยพ เข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐเป็นจำนวนมาก คนเหล่านี้ไม่รู้ภาษาอังกฤษ การ์ตูนในหนังสือพิมพ์รายวันจึงกลายมาเนสื่อกลางที่ทำให้คนเหล่านั้นได้เรียนภาษาอังกฤษและสื่อสารกันผ่านเรื่องราวของการ์ตูนที่สนุกสนานและสร้างฝันให้เป็นฝันเดียวกัน
ผมได้เขียนในบทความดังกล่าวว่า
“เมื่อปี 1996 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีความสำคัญต่อวงการการ์ตูนระหว่างประเทศเพราะเป็นปีครบรอบ 100 ปีของกำเนิดหนังสือการ์ตูนโลก ซึ่งรัฐบาลเบลเยี่ยมให้ความสำคัญมากจัดให้มีการเฉลิมฉลองวาระดังกล่าวทั่วประเทศ มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาภายใต้การอุปถัมภ์ของกษัตริย์อัลเบิร์ต ที่ 2 มีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมาของภาพการ์ตูน ณ พิพิธภัณฑ์ ที่ตั้งขึ้นมาสำหรับรวบรวมประวัติความเป็นมาของการ์ตูนโดยเฉพาะ รวมทั้งการสร้างอนุเสาวรีย์รำลึกให้ตัวการ์ตูนและผู้วาดอีกด้วย”
เมื่อได้ไปอยู่ที่เดลี อินเดีย ผมก็ได้พบว่าอินเดียเองก็ได้ใช้สื่อการ์ตูนในการสร้างคนและสร้างสังคมของการเรียนรู้เช่นกัน แม้ว่าวงการการ์ตูนอินเดียจะเริ่มมา 60 กว่าปีมาแล้ว แต่ก็เริ่มต้นโดยรับเอาอิทธิพลการ์ตูนจากอเมริกาและยุโรปมามากทีเดียว
อินเดียให้ความสำคัญกับการใช้สื่อหนังสือในการลดความเหลื่อมล้ำทางความรู้จริงๆ จังๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือการที่มีนโยบายส่งเสริมให้หนังสือทุกประเภทมีราคาถูก เพื่อที่คนทั่วไปในทุกระดับสามารถเข้าถึงได้ง่าย
ผมพบด้วยว่า การ์ตูนในอินเดียนั้น นอกจากจะกระตุ้นให้คนทั่วประเทศได้อ่านหนังสือแล้วยังเป็นสื่อที่ทำให้คนทุกชั้นวรรณะยึดมั่นอยู่ในศาสนาฮินดูและความเชื่อในเทพเจ้าต่างๆ ด้วย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมาก
เพราะหนังสือการ์ตูนสามารถเข้าไปถึงทุกชนชั้น ทุกวรรณะ ทุกเพศทุกวัย ทุกโอกาส ทุกสถานที่ ไม่เกี่ยวกับความเจริญ ไม่ว่าจะมีไฟฟ้าหรือแสงสว่าง ไม่ว่าจะมีวิทยุหรือโทรทัศน์หรือไม่ ทุกคนก็สามารถอ่านหนังสือการ์ตูนได้
ขอนำเรื่องนี้มาเสนอกันสั้นๆ ก่อนเพื่อเปิดประเด็นให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน และจะได้ศึกษาค้นคว้าต่อไป เพราะยังมีรายละเอียดอีกมากที่น่าสนใจ
ที่อยากจะบอกตรงนี้สั้นๆ ว่า อย่ามองข้ามสื่อการ์ตูน เพราะเป็นสื่อที่มีศักยภาพมาก ไม่แพ้สื่อทันสมัยในปัจจุบันเลย คนไทยมักจะมองว่าหนังสือการ์ตูนสำหรับเด็กเท่านั้นซึ่งผิดมาก และเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
ทั้งหมดนี้จึงอยู่ที่การมองให้เห็น มองให้ลึก และนำมาใช้ให้เหมาะสม ................................................
เห็นด้วยค่ะ ส่วนตัวและทุกคนในครอบครัว อ่านหนังสือการ์ตูนกันมาเยอะค่ะ
คุณพี่ Sasinand ครับ
ศาสตร์ว่าด้วยการ์ตูนช่อง Comic strip นั้นเป็นวิชาการครับ ที่บ้านเรายังไม่ได้สนใจนำมาสอน
ในยุโรป นักวาดการ์ตูนถือว่าเป็นอาชีพที่มีเกียรติไม่ด้อยไปกว่าอาชีพอื่นเลยครับ
ขอบคุณที่แวะมาทักทายครับ
สวัสดีค่ะ คุณพลเดช
มาเก็บความรู้ค่ะ บางเรื่องบางมุมมองใกล้ตัว สัมผัสทุกวัน อ่านทุกวันทั้งแต่เด็กจน
บัดนี้แก่แล้ว แต่ไม่มีความรู้เรื่อง หรือประวัติของการ์ตูนค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความ
ดีๆค่ะ
คุณ ThaisDutch ครับ
หนังสือการ์ตูนคือรูปแบบการเล่าเรื่องชนิดหนึ่ง
หากจำสมัยเด็กๆ ได้ ไทยเราก็มีหนังสือการ์ตูนดีๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เช่นอัศวินสายฟ้า เงาะป่า พระอภัยมณี
เป็นรูปแบบการนำนิทานมาเล่าด้วยภาพที่คิดจัดสรรเป็นระบบแล้วครับ
ภาพฝาผนังในอุโบสถก็เป็นรูปแบบหนึ่งของการเล่าเรื่องด้วยภาพ
ภาพรามเกียรติ์ที่กำแพงศาลารายในวัดพระแก้วก็เป็นรูปแบบเล่าเรื่องด้วยภาพที่น่าทึ่งมาก
มีวิธีการดูภาพจากล่างไปบนและวนขวา ประกอบคำบรรยายข้าง
ล่างภาพ...เหล่านี้คือเทคนิคหนังสือการ์ตุนในยุคต้นๆ เลยครับ
ในเว็บ www.polpage.com มีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับหนังสือการ์ตูนครับ โดยเฉพาะการสะสมหนังสือการ์ตูน ลองอ่านดูนะครับ
เผื่อไปตามตลาดของเนเนเธอร์แลนด์ อาจพบหนังสือเก่าสมัยสยามก็ได้ครับ