“มันอยู่ไม่ไหวครับ มันไม่ค่อยพอกิน”
คำตอบของหนุ่มใหญ่ชาวทวายตอบคำถามของผมเมื่อถามถึงสาเหตุการเข้ามาทำงานในประเทศไทย
ทั้งที่ในช่วงนั้นมีความเสี่ยงที่จะไม่มีงานทำสูงมาก
“ไม่พอกินยังไงเหรอ นี่ได้ข่าวเข้ามากันเยอะมาก” ผมถามต่อ
เนื่องจากกำลังสงสัยในการไหลเข้ามาของคนอีกฝากฝั่งหนึ่งมากจนผิดสังเกต
“ก็ทำนาไม่ได้
เพราะว่าปีนี้ทหารเขาเก็บแพงมาก ปีก่อนโน้นเขาเก็บเราแค่ 6
กระบุงต่อไร่ แต่ปีนี้เก็บ 12 กระบุงต่อไร่ ฝนก็ไม่ค่อยตก
แถวบ้านผมบางคนเขาขายนาไปแล้ว เพราะมันไม่ไหวจริง ๆ
นี่ยังต้องขายข้าวให้กับเจ้าหน้าที่เขาอีก
ถูกกว่าราคาที่ขายกันตั้งเยอะ ไม่ขายก็ถูกจับ
ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยต้องกลับเข้ามาอีกรอบ”
ชายหนุ่มตอบพร้อมยิ้มแบบแห้ง ๆ
หลังจากรัฐบาลทหารพม่าเข้าปกครองประเทศเมื่อปี 1988
การพัฒนาประเทศพม่าเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ และออกจะย่ำแย่เอามากๆ
สำหรับกลุ่มคนจนทั่วประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศแบบไร้ทิศทาง
ไม่สนใจประชาชน มีการเก็บภาษีการเกษตรที่แพง
การบังคับชื้อข้าวในราคาถูก การบังคับให้ชาวนาปลูกพืชเศรษฐกิจ
โดยมุ่งเน้นการส่งออกสินค้าเกษตรของภาครัฐทำให้เกษตรกรส่วนหนึ่งกลายเป็นเกษตรกรที่หลุดจากที่ดิน
หรือหมดหวังกับการทำการเกษตร
ประกอบกับการที่รัฐบาลทหารพม่าเองหวาดระแวงกับพลังของนักศึกษาจนต้องทำการปิด
ๆ เปิด มหาวิทยาลัยมาโดยตลอดสิบกว่าปี
ทำให้คนหนุ่มสาวที่จบจากระดับมัธยมไม่สามารถทำการศึกษาต่อได้
และนักศึกษายังเรียนไม่จบอีกหลายคน อย่างอยู่ในภาวะที่เป็นผู้ไร้อนาคต
ทางเลือกของพวกเขามีสามทาง คือ เข้าไปหางานทำในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่
ๆ ที่รายได้แสนจะถูกเมื่อแทบกับค่าครองชีพที่แพงลิ่ว
หรือเข้าไปเป็นทหารอาชีพเดียวที่ดูจะมีอภิสิทธิ์มากกว่าอาชีพอื่น ๆ
แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าการเป็นทหารจะสามารถเอาชีวิตรอดได้
และทางเลือกสุดท้ายคือข้ามแดนมาหางานทำยังประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย
นอกจากกลุ่มคนจนที่เจอพิษเศรษฐกิจแบบกดขี่ขูดรีดจากผู้ปกครองประเทศ
และคนหนุ่มสาวที่ไม่สามารถเรียนต่อได้แล้ว
คนอีกลุ่มหนึ่งที่ประสบปัญหาอย่างหนักคือกลุ่มชาวบ้านชนกลุ่มน้อย
ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยในพม่า
ซึ่งถูกรัฐบาลทหารหวาดระแวงว่าจะให้ความช่วยเหลือต่อกองกำลังของชนกลุ่มน้อย
และหาประโยชน์จากการเก็บภาษี บังคับใช้แรงงาน
ทำให้ต้องหนีเอาตัวรอดเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทยเช่นเดียวกับสองกลุ่มแรก
หากมองปัญหาของพวกเขาเหล่านี้แล้วพวกเขามีปัญหาที่เกิดจากปัจจัยหนึ่งที่คล้ายกัน
คือ ถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลทหารที่ไม่ใส่ใจใยดีต่อประชาชน
มองประชาชนเป็นเพียงสิ่งที่สร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการเมือง
ที่ต้องควบคุมไว้การหลบหนีเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทย
จึงไม่ใช่การหลบหนีจากความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ
ไม่ใช่หลบหนีจากสงครามเท่านั้น
แต่พวกเขาหลบหนีต่ออำนาจที่ชี้เป็นชี้ตายในชีวิตของพวกเขาได้
หนีความบ้าคลั่งในอำนาจของคนกลุ่มหนึ่ง
หากจะมองให้ดีแล้วพวกเขาไม่ใช่เพียงแรงงานราคาถูก ทำงานหนัก
ที่ให้นายจ้างคนไทย เจ้าหน้าที่รัฐ และคนไทยบางส่วนดูถูกย่ำยีเท่านั้น
แต่เขายังเป็นผู้ลี้ภัยอีกกลุ่มหนึ่งที่เราไม่ยอมรับว่าเขาเป็น
หรือเพราะเรามองไม่เห็นผู้ลี้ภัยอย่างพวกเขา
ขณะเดียวกันเมื่อมาอยู่ในประเทศไทย
ด้วยฐานะที่เป็นคนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายทำให้การดำรงชีวิตในเมืองไทยของพวกเขาเป็นไปด้วยความยากลำบาก
บางส่วนต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เนื่องจากกลัวถูกจับกุม
ทำงานที่เป็นงานหนัก เสี่ยงอันตราย และสกปรก
ได้ค่าจ้างน้อยโดยเฉลี่ยแล้วจะต่ำกว่าแรงงานไทยประมาณครึ่งหนึ่ง
มีหลายครั้ง ๆ ที่อาจจะถูกโกงค่าแรงไม่ได้รับค่าจ้าง
หรือได้รับไม่ตรงตามที่ตกลงไว้
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เนื่องจากไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ กับนายจ้าง
นอกจากนั้นแล้วยังถูกหักค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น
ค่าจัดทำใบอนุญาตทำงาน ค่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน
ค่านายหน้าที่พาเข้ามาทำงาน
และค่าส่วยที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบางคน
นอกจากนี้แล้วยังต้องทำงานต่อวันนานถึง 10-15
ชั่วโมง และยังถูกนายจ้างทำร้ายเมื่อทำงานไม่เป็นที่พอใจ
หรือถูกนายจ้างละเมิดทางเพศในกลุ่มแรงงานหญิง สิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้ถูกเก็บกดปิดกั้นไว้ด้วยความเป็นคนพม่าที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
และยังคงหวาดผวากับความรู้สึกที่คนไทยบางคนมองพวกเขาว่าเป็นคนพม่าที่เป็นศัตรูตลอดกาลของไทย
การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่าง
ๆโดยเฉพาะปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติที่เกิดขึ้น ได้แก่
การถูกขูดรีดจากนายหน้าในระหว่างการขนย้ายแรงงานข้ามประเทศ
การเดินทางเข้ามาเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยนั้น
กลุ่มนายหน้าเป็นบุคคลสำคัญที่จะนำพาพวกเขาเดินทางเข้ามาแสวงหาชีวิตใหม่ในประเทศไทยได้
นายหน้าเหล่านี้จะเป็นผู้จัดการการเดินทางทั้งหมดของแรงงานข้ามชาติ
เริ่มตั้งแต่เรื่องการเดินทาง จัดหาที่พัก และการหางานให้ทำ
แรงงานที่เข้ามาหางานทำในประเทศไทย
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพิงนายหน้าเหล่านี้
คนพม่าที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าส่วนใหญ่บ้างก็เป็นคนที่แรงงานรู้จักไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง
เพื่อน หรือคนในหมู่บ้านเดียวกัน หรือเป็นคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน
แต่ได้รับการแนะนำให้ไปติดต่อ
หรือนายหน้าเองเป็นผู้ที่เข้าไปชักชวนและเสนองานให้ทำ
ซึ่งมีทั้งแบบที่ไปหาถึงหมู่บ้านหรือนัดหมายให้มาเจอกันที่ชายแดน
ในขบวนการนายหน้ารวมทั้งที่เป็นคนพม่าและคนไทย
นายหน้าทำงานได้ต้องมีความสัมพันธ์หรือมีความสามารถในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
เช่น การจ่ายส่วยค่าผ่านทาง
จนถึงการเป็นหุ้นส่วนในการนำพาแรงงานเข้าเมือง
หลายครั้งเจ้าหน้าที่รัฐเองเป็นผู้นำแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เดินทางข้ามชายแดนเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ๆ
การจ่ายเงินให้นายหน้าเพื่อหลบหนีเข้าเมืองมาหางานทำมิได้เป็นหลักประกันความปลอดภัย
เพราะแรงงานข้ามชาติต้องเดินทางแบบหลบซ่อนในรูปแบบต่างๆ เช่น
ซ่อนตัวอยู่ในรถขนส่งสิ่งของ พืชผักต่างๆ
ซึ่งค่อนข้างยากลำบากอันตรายและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต
แรงงานหญิงหลายคนเสี่ยงต่อการถูกข่มขืน
ล่วงละเมิดทางเพศจากนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อถูกจับกุมได้
ขบวนการนายหน้าบางส่วนทำหน้าที่เป็นเสมือนพวกค้าทาสในอดีต
แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะถูกนายหน้าหลอกไปขายให้แก่สถานบริการ
และบังคับให้แรงงานหญิงเหล่านี้ค้าบริการทางเพศหรือขายบริการให้แก่ชาวประมงที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานาน
การจ่ายค่านายหน้า
นายหน้าโดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีเก็บเงินโดยตรงที่นายจ้าง
และนายจ้างจะหักจากค่าแรงของแรงงานอีกต่อหนึ่ง
ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างของนายจ้างที่จะไม่จ่ายค่าแรงให้แก่แรงงาน
ทำให้หลายกรณีที่แรงงานข้ามชาติทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเลย
ลักษณะงานที่แรงงานข้ามชาติเข้ามารับจ้างทำงานส่วนใหญ่ ถูกจัดให้อยู่ในประเภท 3 ส. คือ สุดเสี่ยง แสนลำบาก และสกปรก ในขณะเดียวกันต้องทำงานหนักและได้รับค่าแรงที่ไม่เป็นธรรม งานบางประเภทเป็นงานที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับฤดูกาล เช่น งานในภาคเกษตร ซึ่งต้องทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานานๆหลายชั่วโมงและไม่มีวันหยุด บางกรณีแรงงานจะถูกใช้ให้ไปทำงานที่ผิดกฎหมาย เช่น ให้ไปตัดไม้ในเขตป่าสงวนซึ่งเสี่ยงต่อการถูกจับกุมโดยนายจ้างจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้นต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ปัญหาของแรงงานข้ามชาติแตกต่างกันไปตามลักษณะของงาน
จำแนกพอเป็นสังเขปได้ ดังนี้
1.
งานในภาคเกษตรกรรม ได้รับค่าแรงต่ำ
ไม่มีความแน่นอนในการทำงานเพราะเป็นงานตามฤดูกาล
นอกจากนี้แรงงานในภาคเกษตรกรรมยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานของไทย
ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การไม่ได้รับค่าแรงจากนายจ้าง
เนื่องจากนายจ้างจะใช้วิธีการบ่ายเบี่ยงไม่ยอมจ่ายค่าแรง
ด้วยการอ้างว่าหักค่าใช้จ่ายจากส่วนอื่นๆแล้วหรือบางครั้งใช้วิธีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมแรงงานเหล่านี้
2. ในภาคประมงทะเล แรงงานข้ามชาติมักต้องออกทะเลเป็นเวลานาน
นับตั้งแต่ 4 เดือนจนถึงนานเป็นปี โดยต้องทำงานอย่างหนัก
มีเวลาพักผ่อนวันละไม่กี่ชั่วโมง สภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างลำบาก
รวมถึงเรื่องอาหารและยารักษาโรคที่มีเพียงเพื่อให้อยู่รอดไปวันๆเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกายและถูกฆ่าจากหัวหน้างานหรือไต้ก๋งเรือ
หากทำงานไม่เป็นที่พอใจหรือเมื่อเกิดมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน
เรื่องราวการทำร้ายฆ่าฟันมักจะเงียบหายไปจนแรงงานข้ามชาติเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า"นักโทษทางทะเล"
ลูกเรือที่ออกเรือเข้าไปทำประมงในเขตแดนทะเลของประเทศอื่นยังเสี่ยงต่อการถูกจับกุมของเจ้าหน้าที่ในประเทศนั้นๆด้วย
3. งานรับใช้ในบ้าน แรงงานต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำมืด
บางรายทำงานบ้านแล้วยังต้องทำงานในร้านขายของหรือทำงานในบ้านญาติของนายจ้างโดยได้รับค่าแรงจากนายจ้างคนเดียว
แรงงานที่ทำงานเป็นคนรับใช้ในบ้านส่วนใหญ่มักถูกห้ามมิให้ติดต่อกับคนภายนอก
โดยนายจ้างจะให้เหตุผลว่ากลัวแรงงานนัดแนะให้คนข้างนอกเข้ามาขโมยของในบ้าน
รวมทั้งอาจจะถูกนายจ้างดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรงรวมถึงการทำร้ายร่างกายด้วย
4. แรงงานห้องแถว
แรงงานข้ามชาติที่ถูกหลอกให้เข้าไปทำงานในโรงงานห้องแถวจะถูกกักให้ทำงานอยู่แต่เฉพาะในโรงงาน
และต้องทำงานอย่างหนักตั้งแต่เช้าไปจนเกือบเที่ยงคืน
โดยนายจ้างจะเป็นผู้จัดเตรียมอาหารให้
ซึ่งเป็นอาหารที่แย่มากบางครั้งนำอาหารที่เกือบเสียแล้วมาให้แรงงานทาน
บางกรณีแรงงานได้รับประทานอาหารเพียงวันละ 2 มื้อ
และไม่เพียงพอ
5.
แรงงานก่อสร้าง
แรงงานในภาคการก่อสร้างเป็นกิจการที่พบว่าแรงงานข้ามชาติจะถูกโกงค่าแรงบ่อยที่สุด
ปัญหาค่าแรงนับเป็นปัญหาหลักที่อยู่คู่กับแรงงานข้ามชาติตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
และพบในแทบทุกกิจการ โดยที่นายจ้างมักจะผลัดผ่อนค่าแรงไปเรื่อยๆ
เมื่อแรงงานเข้าไปทวงค่าแรงมักจะได้รับคำตอบว่าหักเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆไปหมดแล้ว
หรือหากเป็นเงินจำนวนมากๆบางรายมักจะใช้วิธีแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปจับกุมแรงงานข้ามชาติเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงิน
ในขณะเดียวกันแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่เมื่อยังไม่ได้รับค่าแรงมักจะดำรงชีวิตโดยการหยิบยืมเงินหรือเอาข้าวของจากร้านค้าต่างๆด้วยการติดหนี้สินไว้ก่อน
เมื่อไม่มีเงินจ่ายหนี้ทำให้แรงงานอยู่ในภาวะยากลำบาก
ในหลายกรณีแรงงานไม่ได้รับค่าแรงอย่างเต็มที่ คือ
นายจ้างให้แรงงานทำงานไปก่อน 25 วันและจ่ายเพียง 15 วัน โดยค่าจ้าง 10
วันที่เหลือ
นายจ้างใช้เป็นกลวิธีควบคุมแรงงานไม่ให้คิดหนีหรือไม่ทำงาน
ในแง่ของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน
มีบทบัญญัติบังคับให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนให้แรงงานตามค่าแรงขั้นต่ำที่กำหนด
แต่ปรากฏว่าค่าแรงของแรงงานข้ามชาติเกือบทั้งหมดจะได้รับต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ
โดยเฉลี่ยจะอยู่ในอัตราตั้งแต่ 40 - 120 บาทต่อวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแทบพื้นที่ชายแดนรายได้ต่อวันสูงสุดไม่เกินวันละ
80 บาท
และน้อยรายนักที่จะได้รับค่าแรงล่วงเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้
โดยในบางพื้นที่ต้องทำงานวันละ 12 - 14
ชั่วโมงโดยไม่ได้รับค่าล่วงเวลาเลย
ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เนื่องจากแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่เป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย
ไม่มีบัตรอนุญาตทำงานจึงหวาดกลัวต่อการถูกจับกุม
ทำให้แรงงานส่วนใหญ่ใช้วิธีจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็น
"ค่าคุ้มครอง" เพื่อไม่ให้ตนเองถูกจับกุม
ประกอบกับที่ผ่านมาแม้รัฐบาลมีนโยบายให้แรงงานข้ามชาติจดทะเบียนเพื่อขออนุญาตทำงาน
แต่นายจ้างมักจะยึดบัตรอนุญาตของแรงงานเอาไว้ทำให้แรงงานข้ามชาติเหล่านี้ไม่รอดพ้นจากการถูกจับกุมของเจ้าหน้าที่
แรงงานหลายคนจึงรู้สึกว่าการมีหรือไม่มีบัตรอนุญาตทำงานไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
เพราะยังไงต้องจ่ายเงิน ”ค่าคุ้มครอง” ให้กับเจ้าหน้าที่อยู่ดี
ทำให้แรงงานข้ามชาติหลายคนใช้วิธีการจ่ายส่วยให้แก่เจ้าหน้าที่แทนการไปจดทะเบียน
แรงงานข้ามชาติจำนวนมากไม่มีเงินจ่ายค่าส่วยจะถูกจับกุมคุมขัง
ปัญหาการจับกุมคุมขังของแรงงานข้ามชาติมีความรุนแรงอยู่มาก
นอกจากเรื่องของห้องขังที่แออัดยัดเยียด ปัญหาสภาพความเป็นอยู่
อาหารประจำวันและห้องน้ำของผู้ถูกคุมขัง
ยังพบว่ามีการทำร้ายร่างกายแรงงานข้ามชาติที่ถูกจับกุมโดยทั้งจากเจ้าหน้าที่และผู้ช่วยผู้คุมซึ่งเป็นนักโทษไทยที่อยู่ในที่คุมขัง
มีการทุบตีทำร้ายแรงงานข้ามชาติที่ถูกจับกุมหากไม่พอใจจนถึงขั้นบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนถึงเสียชีวิต
มีการข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศ
การกระทำอนาจารต่อผู้ต้องขังที่เป็นแรงงานข้ามชาติหญิง เช่น
ให้ผู้ต้องขังชายช่วยตัวเองหน้าห้องผู้ต้องขังหญิง
ไปจนถึงการข่มขืนกระทำชำเราผู้ต้องขังหญิง
โดยนักโทษชายที่เป็นคนไทยต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใส่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หรือบางครั้งเจ้าหน้าที่รัฐบางคนก็เป็นผู้กระทำเสียเอง
จากที่กล่าวมาทั้ง 4
ข้อใหญ่ๆจะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านั้นเป็นปัญหาเชิงความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้อนทับกันตั้งแต่ความรุนแรงทางกายภาพที่ปรากฎเห็นได้ชัด
ดังเช่น กรณีการทำร้ายร่างกาย การล่วงละเมิดทางเพศ และการฆ่า
ไปจนถึงความรุนแรงทางโครงสร้างที่มองไม่เห็นได้ชัดเจนนัก เช่น
การปกครองประเทศโดยระบอบเผด็จการทหาร
การมีนโยบายรัฐที่ไม่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชน การกดขี่แรงงาน
การขูดรีดค่าแรง
รวมไปถึงกระบวนการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศต้นทางและในประเทศไทย
แต่มีความรุนแรงที่แฝงเร้นอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่ง“เรา”อาจลืมเลือนไปหรือไม่คิดว่ามันดำรงอยู่
คือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอคติและความเคยชิน
จะเห็นได้ชัดว่าหากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีต่อคนเหล่านี้ขึ้น
หลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
หลายคนมองว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วที่คนเหล่านี้จะได้รับ
หลายคนรับรู้แล้วลืมเลือนมันไป
ปัญหาของความรุนแรงชนิดนี้ไม่ได้อยู่ที่การทำร้ายร่างกาย
แต่เป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยไม่รู้ตัว
ที่สำคัญคือผู้ที่กระทำความรุนแรงประเภทนี้ก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดความรุนแรง
และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ
แท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็เป็นเหยื่อของความรุนแรงด้วยเช่นกัน
ความรุนแรงเชิงอคติทางชาติพันธุ์
ปัญหาหนึ่งที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิต่อแรงงานข้ามชาติ
คือ ปัญหาอคติทางชาติพันธุ์ที่มีต่อแรงงานข้ามชาติ
มีการสร้างและผลิตซ้ำผ่านสื่อหรือกลไกต่าง ๆ
ในสังคมเพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐต้องทำการควบคุมอย่างจริงจัง
แรงงานข้ามชาติเหล่านี้เข้ามาแย่งงานแรงงานไทยต้องไล่ออกไปให้หมด
ทั้งที่แรงงานเหล่านี้เข้ามาทำงาน “3 ส.”
งานที่แรงงานไทยส่วนใหญ่ไม่ทำกันแล้ว
แนวคิดและการผลิตซ้ำทำให้สังคมไทยสร้างภาพความหวาดระแวงต่อแรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะแรงงานพม่า
คิดว่าแรงงานข้ามชาติเป็นตัวอันตรายน่ากลัว
แรงงานข้ามชาติเองต้องคอยหลบๆซ่อนๆด้วยเกรงว่าจะถูกจับกุมทำร้าย
สภาพการณ์เหล่านี้ถูกสร้างเป็นภาพมายาที่กดทับให้สังคมไทยหวาดระแวงแรงงานข้ามชาติ
เกิดเป็นคำถามสำคัญว่าในฐานะมนุษย์ที่อยู่ร่วมพรมแดนติดต่อกันจะดำรงสถานภาพของมิตรภาพและสันติสุขต่อกันได้อย่างไรในเมื่อต่างหวาดระแวงปราศจากความไว้วางใจต่อกันและกัน
ในช่วงที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากเรื่องแรงงานข้ามชาติก็คือ
สังคมที่ดำรงอยู่ด้วยความกลัว เราถูกทำให้กลัวในซึ่งกันและกัน
คนไทยกลัวแรงงานพม่า กลัวว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมาทำร้ายตนเอง
กลัวพวกเขาเหล่านั้นจะก่อเหตุร้ายกับคนรอบข้างของตนเอง
ในขณะเดียวกันแรงงานข้ามชาติก็กลัวคนไทยจะมาทำร้ายพวกเขา
กลัวคนไทยจะแจ้งความจับพวกเขา กลัวการถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายพวกเขา
กลัวนายจ้างจะทำร้ายพวกเขา
กลัวการถูกส่งกลับไปสู่ความไม่ปลอดภัยในประเทศของตนเอง
ความกลัวเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เป็นความกลัวที่ถูกสร้างขึ้นจากการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่า การนำเสนอข่าว การประชาสัมพันธ์โดยรัฐ
จากการศึกษา และรวมถึงจากการไม่รู้ เช่น
เรากลัวเพราะเราไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้
ซึ่งก่อให้เกิดฐานคติที่เป็นลบต่ออีกฝ่ายหนึ่ง
และสังคมได้ผลิตซ้ำฐานคติเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกลายเป็นความปกติ ความเคยชิน
และสุดท้ายกลายเป็นเรื่องธรรมชาติของใครหลายคนไป
การดำรงอยู่ของ “สังคมแห่งความกลัว”
นี้เองที่ช่วยเสริมสร้างให้ความรุนแรงทางกายภาพเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทำให้การกดขี่ขูดรีดคนข้ามชาติเหล่านี้เกิดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องปกติ
จนกระทั่งกลายเป็นแนวนโยบายแนวปฏิบัติของรัฐ
และกลายเป็นความชอบธรรมให้แก่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆไป