‘หก’ หมายถึง 6 ขั้นตอนการจัดการ
ปัญหาสถานะบุคคลของแต่ละคน
พฤษภาคม 2551[1] ในตัวอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
..‘สังคยนากฎหมาย’ ถูกใช้เป็นหัวข้อการคุยและแลกเปลี่ยนระหว่างอ.แหวว ลูกศิษย์และคนทำงานด้านสถานะบุคคล มันเป็นการทดสอบแนวคิดใหม่ถึงขั้นตอนการจัดการปัญหาสถานะบุคคล[2]
หก
ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนของ ‘ห้า’ เอามาคูณด้วย ‘หก’ แต่ละตัว
คูณด้วยหก-ตัวแรก: ตรวจสอบข้อเท็จจริงของบุคคล
“การรู้จักตัวเอง” คือจุดเริ่มต้นง่ายๆ ของการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล ..คำถามที่เจ้าของปัญหา รวมถึงคนที่คิดจะยื่นมือให้ความช่วยเหลือต้องตอบให้ได้ก็คือ เจ้าของปัญหาเป็นใคร? และข้อมูลส่วนบุคคลที่รอบด้าน - ทั้งในแง่ของพื้นที่และเวลา (ที่ไหนและเมื่อไร?) นับตั้งแต่เกิด หรือเข้าเมืองมายังรัฐไทย คนในครอบครัว เอกสารทุกฉบับ พยานบุคคลและพยานหลักฐานทุกชิ้น - มีอะไรบ้าง?
ความสามารถในการไล่เรียงประวัติศาสตร์ส่วนบุคคล การกลั่นกรอง - ตรวจสอบความถูกต้อง ความเชื่อมโยง ความสมเหตุสมผล การบันทึกออกมาเป็นตัวหนังสือ ..พูดได้ว่า - เป็นทั้งทักษะ ความรู้และประสบการณ์ที่ต้องฝึกฝน
คูณด้วยหก-ตัวที่สอง: ตรวจสอบข้อกฎหมายและนโยบาย
อีกเรื่องที่คนทำงานด้านสถานะบุคคลตระหนักดีก็คือ สถานะบุคคลของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละบุคคลแล้ว อีกด้านหนึ่งก็คือมันจะเป็นไปตามกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง (กฎหมายและนโยบายด้านสัญชาติ การทะเบียนราษฎร คนเข้าเมือง รวมไปถึงรัฐธรรมนูญ) และบังคับอยู่ใช้ในแต่ละช่วงเวลาที่บุคคลเกิดและ/หรือปรากฏตัวในรัฐไทย
ความถูกต้องและแม่นยำในข้อกฎหมายและนโยบายจึงเป็นท่าบังคับที่สำคัญ
คูณด้วยหก-ตัวที่สาม-ตรวจสอบการกำหนดและพัฒนาสถานะ, ตัวที่สี่-การเสียสถานะ และตัวที่ห้า-การกลับคืนสถานะ
ผลของการคูณด้วยหกตัวที่สามถึงห้า กล่าวได้ว่า มันก็คือผลจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่าเจ้าของปัญหาคนๆ หนึ่ง ภายใต้ข้อเท็จจริงของเขา ภายใต้กฎหมาย นโยบายที่เกี่ยวข้องในแต่ละช่วงเวลา เขาจะได้รับการกำหนดสถานะบุคคลเป็นอย่างไร? ..เจ้าของปัญหาอาจจะมีสถานะบุคคลเป็น-คนต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยชอบด้วยกฎหมาย/ไม่ชอบด้วยกฎหมาย, คนต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยอยู่ถาวร/ชั่วคราว โดยผลของกฎหมาย/นโยบาย หรือผู้มีสัญชาติไทย
คำตอบต่อไปก็คือ ต่อสถานะบุคคลที่เจ้าของปัญหาเป็นอยู่-เขาหรือเธอจะสามารถพัฒนาสถานะให้ดีขึ้นไปกว่าเดิมได้อย่างไร, และหากต่อไปเจ้าของปัญหาต้องเสียสถานะบุคคลที่มีอยู่ เขาหรือเธอจะขยับไปมีสถานะบุคคลแบบไหน แล้วจะมีโอกาสได้สถานะบุคคลนั้นกลับคืนหรือไม่ อย่างไร โดยวิธีใด ภายใต้กฎหมายและนโยบายอะไร และที่สำคัญภายใต้ข้อเท็จจริงของบุคคลลักษณะใด พยานหลักฐานอะไรบ้างที่ต้องมี
พูดได้อีกอย่างว่า-มันคือการประมวลผล บนฐานความรู้และประสบการณ์ ..และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะชี้ให้ชัดขึ้นว่า-ชีวิตหนึ่งๆ ที่ไร้รัฐไร้สัญชาติในรัฐไทยแห่งนี้จะมีโอกาส และใช้ระยะเวลาอีกมากน้อยแค่ไหนที่จะเป็นบุคคลไม่ไร้สถานะทางทะเบียน, ไม่ไร้รัฐ รวมถึงไม่ไร้สัญชาติ
นอกจากนี้ มันยังเป็นขั้นตอนที่สะท้อนกลับไปด้วยว่า-ข้อเท็จจริงส่วนบุคคลที่เก็บมา ข้อกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของปัญหานั้น ครบถ้วนแล้วหรือไม่
คูณด้วยหก-ตัวที่หก: ตรวจสอบขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม
เมื่อข้อเท็จจริงของเจ้าของปัญหา เป็นไปตามองค์ประกอบของสถานะบุคคลที่ข้อกฎหมายและนโยบายกำหนดไว้ แต่กฎหมายและนโยบายนั้นๆ กลับไม่ถูกบังคับใช้แก่เจ้าของปัญหา หรือนำกฎหมายและนโยบายอื่นๆ มาบังคับใช้แก่เจ้าของปัญหา เจ้าของปัญหาจึงไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในสถานะบุคคลได้อย่างถูกต้อง ตรงกับข้อเท็จจริงของตนเอง ในทางกฎหมายมันหมายถึงการละเมิดสิทธิแบบหนึ่ง
..ถ้ามองด้วยมุมมองเดิมๆ ที่คนทั่วไปคุ้นชิน กระบวนการยุติธรรมย่อมหมายถึงการไปศาล ซึ่งแน่นอนว่า-ไม่ว่าจะคดีอาญา คดีแพ่ง หรือคดีปกครอง -การไปศาล มักเป็นหนทางสุดท้ายเสมอ-ที่ใครสักคนจะตัดสินใจเลือกเดิน (กรณีคดีจอบิ และคดีแม่อาย) เว้นเสียแต่ว่าเป็นกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคือ เจ้าของปัญหาถูกฟ้องเป็นจำเลยเสียเอง
มองจากมุมมองใหม่ที่อ.แหวว พยายามเสนอ ท้าทายเพื่อเป็นทางเลือก ก็คือ กระบวนการยุติธรรมนอกห้องพิจารณาคดีหรือนอกศาล ด้วยเพราะการโต้แย้งเพื่อยืนยันในสิทธิตามกฎหมายที่คนๆ หนึ่งมีนั้น สามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบ ..การโต้แย้งโดยตรงต่อหน่วยงานที่กระทำละเมิด การสื่อสารสาธารณะออกไปถึงปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น[3] ฯลฯ ไปจนถึงการนำข้อพิพาทไปฟ้องร้องต่อศาล ล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามที่คนตัวเล็กตัวน้อยในสังคมไทย อย่างกรณีคนไร้รัฐไร้สัญชาติก็สามารถลงมือทำได้ ..มันเป็นเรื่องของการยืนยันในสิทธิที่แต่ละคนมี ซึ่งได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมาย และหากจะมองให้พ้นไปจากแต่ละปัจเจกบุคคล-มันยังอาจหมายถึงการลงมือผลักดัน-สร้างให้เกิดบรรทัดฐานเดียว
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมในหรือนอกห้องพิจารณาคดี ..สาระแห่งสิทธิ รวมไปถึงวิธีพิจารณาความเป็นเรื่องที่ต้องหนักแน่นและแม่นยำ ..มันเป็นทั้งองค์ความรู้และประสบการณ์ที่ต้องเรียนรู้ ค้นคว้าและสะสม
[1] โครงการสังคายนากฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการจัดการประชากร ครั้งที่1 ระหว่างวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2551 ณ โรงแรมริมกก รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรแพลน ประเทศไทย
[2] ผู้ถูกวางตัวให้เป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบแนวคิดเรื่อง ‘หก’ ได้แก่ 6 ตัวแรก-สรินยา กิจประยูร, 6 ตัวที่สอง-กานต์ เสริมชัยวงศ์, 6 ตัวที่สาม-รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร , 6 ตัวที่สี่และห้า-ชุติ งามอุรุเลิศ และ 6 ตัวสุดท้าย-ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล
[3] หนังสือจากโครงการเฝ้าระวังสภาวะไร้รัฐ (Stateless Watch) ขอให้โรงพยาบาลสบเมยชี้แจงและความเห็นทางกฎหมายเพื่อหารือกรณีปฎิเสธสิทธิในการเข้าถึงหลักประกันสุขภาพของมึดา นาวานาถ http://statelesswatch.files.wordpress.com/2008/12/2551-12-26-legalopiniononr2health-muedacase_final.pdf, หนังสือขอให้เขตจตุจักรชี้แจงและความเห็นทางกฎหมายเพื่อหารือกรณีปฏิเสธสิทธิการเลือกตั้งของฟองจันทร์ สุขเสน่ห์ http://statelesswatch.files.wordpress.com/2009/01/2552-2-8-stw-fongchan-e0b89be0b8a3e0b8b0e0b898e0b8b2e0b899e0b881e0b881e0b895.pdf
ไม่มีความเห็น