ผลการศึกษาพบว่าบุคคลที่จะได้มีสัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิต(jus sanquinis)เป็นข้อเท็จจริงที่กฎหมายรับรองให้เป็นเหตุของการได้สัญชาติไทยโดยการเกิดจากสายโลหิตซึ่งมีอยู่ 2 กรณีด้วยกันกล่าวคือ สายโลหิตจากบิดา และสายโลหิตจากมารดาก็ได้ ซึงผู้เขียนจะได้ทำการศึกษาดังต่อไปนี้
* หลักสืบสายโลหิตจากบิดา
จากการศึกษาผู้เขียนพบว่า บุคคลที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิตนั้นจะต้องฟังได้ว่ามีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้ ประการแรก ผู้นั้นจะต้องปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายในขณะที่เกิด และ ประการที่สอง ผู้นั้นจะต้องมีบิดาที่มีสัญชาติไทยอยู่แล้วในขณะที่เกิด[1] องค์ประกอบสองข้อนี้มีความสำคัญมากอันจะขาดเสียมิได้ หากขาดข้อหนึ่งข้อใดเสียแล้ว ผู้นั้นย่อมไม่ได้สัญชาติไทยโดยหลักสืบสายโลหิต องค์ประกอบทั้งสองนี้สามารถอธิบายได้ดังนี้
ประการที่หนึ่ง คำว่า “เกิด” ตามกฎหมายสัญชาตินั้นหมายถึง การคลอดจากจากครรภ์มารดาแล้วเป็นทารก ตามมาตรา15 วรรคแรกแห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์[2] หาได้หมายถึงการปฏิสนธิไม่ อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าในอดีตกฎหมายว่าด้วยสัญชาติของไทยฉบับแรกคือ พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2456 มาตรา 3 วรรค 1 [3] ใช้คำว่า “กำเนิด” แทนคำว่า “คลอด” ทำให้นักกฎหมายบางท่านตีความว่า “ได้กำเนิด” หมายถึง เมื่อเด็กปฏิสนธิในครรภ์มารดา[4] แต่เมื่อกฎหมายว่าสัญชาติที่มีผลใช้บังคับในปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้คำว่า “เกิด” แทน จึงหน้าจะเข้าใจว่าหมายถึงการคลอดตามมาตรา 15 วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น การพิจารณาว่าบุคคลใดจะมีสัญชาติไทยโดยสืบสายโลหิตตามบิดาหรือไม่จะต้องพิจารณาว่า ในขณะที่ผู้นั้นเกิด บิดาของผู้นั้นมีสัญชาติไทยหรือไม่ หากปรากฏว่าขณะเกิดบิดามีสัญชาติไทย แม้ว่าภายหลังบิดาจะไม่มีสัญชาติไทยอีกต่อไป ก็หามีผลกระทบต่อความสมบูรณ์ที่บุตรได้สัญชาติไทยไม่
ประการที่สอง ประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อมาก็คือ คำว่า “บิดา”[5] ตามกฎหมายว่าด้วยสัญชาตินั้นหมายถึง บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น และบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นจะต้องปรากฏขณะหรือก่อนบุตรเกิด หมายความว่า บิดามารดาต้องจดทะเบียนสมรสก่อนบุตรเกิดจึงจะมีผลทำให้บุตรได้รับสัญชาติไทย[6] และอาจได้สัญชาติไทยก็ได้[7] การจดทะเบียนภายหลังก็ดี บิดารับรองบุตรก็ดี ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายก็ดี หามีผลทำให้บุตรที่เกิดได้รับสัญชาติโดยหลักสืบสายโลหิตตามบิดาไม่ หลักที่ว่าบิดาจะต้องเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายขณะหรือก่อนบุตรเกิดนั้นเป็นหลักที่ศาลไทยยึดถือมาโดยตลอด[8]
* หลักสืบสายโลหิตจากมารดา
ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะได้ศึกษาถึงกฎหมายสัญชาติไทยว่าเด็กที่เกิดมาจะได้สัญชาติไทยตามหลักสืบสายโลหิตจากมารดาหรือไม่ ในขณะที่เกิดนั้นไม่ปรากฏมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายหรืออีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนต่างด้าวหรือไร้สัญชาติ ซึ่งผู้เขียนจะได้ทำการศึกษาดังต่อไปนี้
จากการศึกษาพบว่ากฎหมายว่าด้วยสัญชาติไทยในอดีต ตั้งแต่พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2456,พ.ศ.2495,พ.ศ.2508 และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2551 นั้นได้ยึดถือหลักสืบสายโลหิตของมารดาเป็นบทรองจากหลักสืบสายโลหิตของบิดา กล่าวคือ กฎหมายจะกำหนดข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอันเป็นเงื่อนไขที่จะได้รับสัญชาติไทยโยดหลักสืบสายโลหิตของมารดา ตามมาตรา 7 พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508[9] และได้มีการแก้ไขในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2551 ซึ่งโปรดดูในเชิงอรรถที่14ข้างบน
ตัวอย่าง นางสาว น้อย เกิดเมื่อ วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เกิดที่ประเทศไทย ในขณะที่เกิด บิดาเป็นคนต่างด้าว และมารดาเป็นคนไทย[10] นางสาว น้อย เกิดมาย่อมได้สัญชาติไทยโดยหลักสายโลหิตจากมารดา ตามมาตรา 7 วรรค 1 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘
[1] มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘ บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(๑) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
(๒) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ยกเว้นบุคคลตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคหนึ่ง
[2] หยุด แสงอุทัย, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล, กทม: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2527, น.145
[3] มาตรา 3 พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2456
“บุคคลเหล่านี้ได้บัญญัติว่าเป็นคนไทย คือ
(๑) บุคคลนั้นได้กำเนิดแต่บิดาเป็นคนไทย แม้เกิดในราชอาณาจักรก็ดี เกิดนอกพระราชอาณาจักรก็ดี
(๒) บุคคลนั้นได้กำเนิดแต่มารดาเป็นคนไทย แต่ฝ่ายบิดาไม่ปรากฏ
(๓) บุคคลผู้กำเนิดในพระราชอาณาจักรสยาม
(๔) หญิงผู้ได้ทำงานสมรสกับคนไทยตามกฎหมายประเพณี
(๕) คนต่างประเทศผู้ได้แปลงชาติมาถือเอาสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติ”
[4] หลวงประดิษฐ์มนูธรรม, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล,น.35
[5] มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติไว้ว่า ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคสองของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕0๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่๒) พ.ศ. ๒๕๓๕
“คำว่าบิดาตาม (๑) ให้หมายรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง แม้ผู้นั้นจะมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เกิดเป็นบุตรก็ตาม”
[6] มาตรา 7 (2) พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508
“ผู้เกิดนอกราชอาณาจักรโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือบิดาไม่มีสัญชาติ”
[7] มาตรา๗ วรรค แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๐๘. ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑. ซึ่งได้ใช้ข้อความต่อไปนี้ว่า “ในกรณีที่เห็นสมควร รัฐมนตรีจะพิจารณาและสั่งเฉพาะรายหรือเป็นการทั่วไปให้บุคคลตามวรรคหนึ่งได้สัญชาติไทยก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยซึ่งไม่ได้สัญชาติไทยตามวรรคหนึ่งจะอยู่ในราชอาณาจักไทยในถานะใด ภายใต้เงื่อนไขใด ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรและสิทธิมนุษยชนประกอบกัน ในระหว่างที่ยังไม่มีกฎกระทรวงดังกล่าว ให้ถือว่าผู้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง”
[8] รองศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนานิช, คำอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล, ภาควิชากฎหมายระหว่างประเทศคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,พ.ศ. 2548,น.14
[9] มาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด
(๑) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
(๒) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย ยกเว้นบุคคลตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคหนึ่ง
[10] โปรดอ่านต่อในบทที่๓
ไม่มีความเห็น