ดนตรี : สร้างสรรค์อะไรให้เด็กบ้าง
------------------------------------
ไม่มีใครในโลกนี้ไม่ชอบเสียงเพลง สื่อของเสียง ถือเป็นสิ่งเดียวในโลกที่สามารถสื่อสาร ความเข้าใจได้ดีกว่าสื่ออื่นๆ โดยเฉพาะเสียงดนตรี ซึ่งเป็นสื่ออันทรงพลังยิ่งกว่าอื่นใด
พัฒนาการของเด็ก ควรให้การศึกษาเสริมกับเขาด้วยการสอนดนตรีก่อนการสอนอย่างอื่น การศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การให้เด็กฟัง และเรียนดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อยจะช่วยในการเจริญของสมอง และเสริมประสิทธิภาพในการเรียนช่วยพัฒนาความคิด ที่เป็นเหตุเป็นผล ความคิดสร้างสรรค์และความจำ
ดนตรีมีผลต่อสมองของทารก โดยที่สมองของเด็กทารก มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เด็กอยู่ในท้องแม่ จนกระทั่งคลอด สภาพแวดล้อมและประสบการณ์ เป็นตัวที่ก่อให้เกิดวงจรของประสาทในสมอง รวมทั้งการเชื่อมโยงระหว่างเซลล์ประสาทเล็ก ๆ ที่ติดต่อโยงใยและสื่อสารกัน โดยมีประจุไฟฟ้าเป็นตัวนำสัญญาณไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของสมอง สมองเด็กแรกเกิด มีเซลล์ประสาทมากมายนับล้านตัวที่รอการประสาน เชื่อมโยงเพื่อพัฒนาการรับรู้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าถ้าเซลล์ประสาทไม่ได้ใช้งาน และไม่มีการเชื่อมโยง วงจรประสาทระหว่างเซลล์สมองก็จะค่อย ๆ กำจัดเซลล์เหล่านี้ไป ดังนั้นเด็กที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสมองมากเท่าใด ส่วนที่เชื่อมโยงยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เปรียบร่างแหการเชื่อมโยงเหล่านี้ได้กับรากต้นไม้ที่แตกแขนงออกมากมาย เพื่อดูดซับอาหารในสภาพดินที่สมบูรณ์
ดนตรีจึงมีส่วนสำคัญในการเพิ่ม “วงจร” ประสาทในสมอง ผ่านทางหู พ่อแม่ ที่ร้องเพลงหรือเล่นดนตรีให้ทารกฟังมากเท่าใด สมองของลูก ยิ่งมีร่างแหเชื่อมโยงมากเท่านั้น การทำงานของสมองมีกลไกที่สัมพันธืเกี่ยวขิ้องกับเซลล์ประสาทที่ใช้ในการเล่น ดนตรี พูดคุย คิดเลข และคิดอย่างใช้เหตุผล และผู้ที่จะสร้างสภาพแวดล้อมดังกล่าวให้กับเด็กตั้งแต่แรกเกิด คือ แม่ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโอบกอดลูก ให้นมแก่ลูก หรือพูดคุยส่งภาษา ร้องเพลงให้ฟัง เด็กจะสามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทุกด้านไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนัง ดังนั้น การออกกำลังกายสมอง โดยการเล่นดนตรี จึงเสริมความสามารถด้านอื่น ๆ ด้วย
นักวิจัยจึงเกิดความคิดว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น ดนตรีอาจทำให้เซลล์ประสาทสื่อสารเชื่อมโยงกันได้ จึงมีนักวิจัยได้ศึกษาเด็กในวัยเรียนว่า ดนตรีมีผลต่อการพัฒนาสมองอย่างไร จากการเรียนตามปกติ โดยแบ่งเด็กเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เรียนดนตรีที่ใช้คีย์บอร์ด กลุ่มที่ 2 เรียนคอมพิวเตอร์ กลุ่มที่ 3 เรียนร้องเพลง กลุ่มที่ 4 ไม่เรียนเพิ่มเติม แล้วทำการวัดผลหลังจากนั้น 6 เดือนต่อมา พบว่า กลุ่มที่เรียนคีย์บอร์ด ทำการทดสอบได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ ถึง 34%
ในเด็กวัยประถมศึกษา การเรียนดนตรีช่วยให้เด็กมีสมาธิในการทำงานที่ได้รับมอบหมายดีขึ้น มีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น เด็กจะมีความภาคภูมิใจที่เล่นดนตรีได้ การสอนลูกให้รักดนตรี สามารถเริ่มได้ตั้งแต่วัยทารก จะสังเกตเห็นว่า เด็กทารกจะให้ความสนใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่มีเสียง เช่น เวลาที่คนพูดคุยกัน เขาจะหันมองทันที คุณสามารถสอนให้ลูกชอบเสียงเพลงได้โดยเริ่มจากการให้เขาฟังเพลงก่อนนอน จากการร้องของคุณเอง ในขณะที่ร้อง ถ้าลูกยังไม่ง่วงนัก คุณสามารถจับแขนขาลูกขยับตามจังหวะได้ ในเด็กเล็กควรเริ่มด้วยเพลงเบา ๆ ไม่มีจังหวะกระตุ้นมากเกินไป
จังหวะเพลง คือสิ่งที่ช่วยพัฒนาเด็กได้มากที่สุด การให้เด็กเล็กรู้จังหวะด้วยการเคาะตาม จะช่วยให้เขาเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น ในเด็กวัย 1-2 ปี ควรเสริมกิจกรรมดนตรีให้ เช่น ตบมือตามจังหวะดนตรี เริ่มให้เขาเรียนรู้ด้วยการสัมผัสเครื่องดนตรีหลาย ๆ ประเภท เช่น กลอง ลูกกระพรวนที่มีขนาดใหญ่ เพื่อความปลอดภัย ให้เด็กเล่นเครื่องตี เคาะ ที่มีเสียงต่างกันด้วย อาจเลือกเคาะสิ่งที่ใกล้ตัว ที่มีขนาดต่างกัน ตีแล้วไม่แตกหักง่าย จนเมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน ควรให้เด็กได้เรียนดนตรีอย่างมีความสุขและสนุกสนาน ไม่ควรบังคับให้เรียน อาจให้เล่นเครื่องดนตรีง่าย ๆ ร้องเพลง และเต้นหรือตบมือตามจังหวะ ฉะนั้นเด็กวัยประถมศึกษาจึงควรมีชั่วโมงเรียนดนตรีอยู่ในหลักสูตรด้วย
หลักสูตรการศึกษาของไทย การให้ความสำคัญในการสอนดนตรีมีน้อยมาก หลักสูตรวิชาดนตรี พุทธศักราช 2435 มีเพียงวัตถุประสงค์ของการสอน แต่ไม่มีเหตุผลว่าทำไมต้องสอนวิชาดนตรี ต่อมาหลักสูตรวิชาดนตรี พุทธศักราช 2450 เพิ่มปรัชญาในการสอนดนตรีขึ้น “สอนเพื่อให้รู้ไว้เป็นเครื่องแก้รำคาญ สำหรับบ้านเรือนในเวลาว่างเปล่า หรือเป็นเครื่องล้างความขุ่นมัวใจ คือหัดร้องเพลงที่ง่าย ๆ ส่วนเพลงที่ยาก ๆ และการดีด สี ตี เป่านั้น ตามแต่จะสอนได้และตามใจรัก” หลักสูตรวิชาดนตรี พุทธศักราช 2452 มีปรัชญาในการสอนขับร้อง วิธีสอนคือ หัดร้องเพลงเพราะ ๆ ง่าย ๆ ที่พอสอนได้ เช่น บทดอกสร้อย เป็นต้น ปรัชญาการเรียนดนตรีลอกเลียนแบบกันเรื่อยมา กระทั่งหลักสูตร พุทธศักราช 2501 และ 2503 จึงมีการเปลี่ยนแปลง เพิ่มวัตถุประสงค์มากขึ้น ปรัชญาการสอนดนตรีในหลักสูตร พุทธศักราช 2521 ไม่ได้แตกต่างจากฉบับก่อน ๆ และหลักสูตรพุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533) ปรับปรุงการสอนดนตรีโดยใช้หลักบูรณาการ
ปัจจุบัน พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มีผลบังคับใช้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มีผลบังคับใช้ ดนตรี ถูกกำหนดอยู่ในสาระการเรียนรู้พื้นฐาน กลุ่มศิลปะ จึงเป็นการคาดเดาได้ยากว่า ดนตรี จะมีส่วนช่วยสร้างสรรค์ พัฒนาเยาวชน ที่จะเติบโตเป็นกำลังของชาติ ต่อไปในลักษณะใด เพราะปัจจุบันบุคลากรทางการศึกษา ให้ความสำคัญวิชาดนตรี อยู่ในลำดับสุดท้ายอยู่แล้ว
ไม่มีความเห็น