เรื่องเล่าจาก นางสาวสุมล ฉัยยา อสม.ดีเด่น สาขาการจัดการสุขภาพในชุมชน
เริ่มต้นของชีวิต เริ่มต้นเป็น อสม.
ฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เกิดมาจากครอบครัวของเกษตรกรรมโดยแท้ พ่อแม่มีอาชีพทำนา ฉันมีพี่น้องหลายคน ฉันเป็นลูกคนโตซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วต้องมีความเสียสละ ผ่อนแรงของพ่อแม่ หลังจากเรียนจบชั้นประถมปีที่ 6 ฉันไม่ได้เรียนหนังสือต่อเพราะต้องเสียสละให้น้อง ๆ ได้เรียน แต่ก็ไม่เป็นไร เพื่อน้อง ๆ ฉันทนได้เสมอ ฉันต้องรับผิดชอบงานในหน้าที่ของการเป็นลูกที่ดีและเป็นพี่ที่ดีตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี เมื่อหมดจากหน้าทำนาทำไร่ ก็ค่อนข้างจะมีเวลาว่างอยู่เหมือนกัน ฉันถูกน้าชักชวนให้สมัครเป็น อสม. ซึ่งก่อนหน้านี้ฉันก็เห็นน้าเขาทำงานเกี่ยวกับ อสม. อยู่บ้างแล้ว “บ้านเรามันอยู่ไกลอนามัย มี อสม. จะได้ช่วยกันดูแลสุขภาพของคนบ้านเราเอง” ฉันเป็น อสม.ตั้งแต่ปี 2529 ด้วยความที่บ้านของฉันอยู่ไกลจากอนามัย ฉันจึงเป็นเสมือนตัวแทนของหมออนามัย “ต่ายชั่งน้ำหนักเด็กให้พี่หมอด้วยนะ” พี่หมอที่อนามัยบอกฉันเมื่อถึงรอบการชั่งน้ำหนัก ซึ่งฉันก็ช่วยพี่หมอชั่งน้ำหนักอยู่แล้วทุก 3 เดือน “ต่ายเดี๋ยวเดือนหน้าช่วยหมอสำรวจข้อมูลด้วยนะ” ฉันช่วยพี่หมอสำรวจข้อมูลต่าง ๆ ที่หมออนามัยจำเป็นต้องใช้ จนทำให้ฉันรู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนบ้านในหมู่บ้านเป็นอย่างดี ซึ่งโดยปกติฉันก็คุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ความคุ้นเคยกับความรู้จักมากขึ้นเปลี่ยนไป เดิมคุ้นเคยเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน แต่เมื่อฉันได้เป็น อสม. มันเพิ่มจากความคุ้นเคยกลายมาเป็นรู้จักเป็นอย่างดี คือรู้ว่าคนในหมู่บ้านที่ฉันอยู่มีสุขภาพเป็นอย่างไร มีเด็กกี่คน มีคนสูงอายุกี่คน มีผู้พิการกี่คน มีคนป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตกี่คน คนไข้โรคจิตกี่คน ผู้หญิงแต่งงานแล้วกี่คน คนท้องกี่คน หลังคลอดกี่คน ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านี่คืองานที่หมออนามัยต้องทำ “มันมีมากกว่านี้อีกเยอะ” หมออนามัยบอกฉันเมื่อคราวที่ฉันสัพยอกว่า “ทำไมเราต้องไปรู้เรื่องราวของชาวบ้านมากกมายขนาดนี้”
เข้าใจงาน เข้าใจคน
ฉันเริ่มรู้แล้วว่าความจำเป็นด้านสุขภาพของคนเราที่ควรจะได้รับนั้นมีอะไรบ้าง และอะไรบ้างที่คนเราต้องใส่ใจตัวเอง ซึ่งการที่จะใส่ใจตัวเองได้นั้นก็ต้องมีความรู้เสียก่อน แต่สำหรับคนในหมู่บ้านของฉันที่มันช่างห่างอนามัยเสียเหลือเกิน ฉันคิดว่า อสม.นี่แหละที่จะช่วยให้คนในชุมชนของฉันได้รับการดูแลสุขภาพได้มากกว่าที่เคยเป็นอยู่
ฉันได้รับการฝึกฝนให้สามารถที่จะวัดความดันโลหิต เจาะน้ำตาลในเลือดที่ปลายนิ้ว แรก ๆ ฉันก็รู้สึกกลัวเหมือนกัน สำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ใจเด็ดอย่างฉัน ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรหมอเขาก็ต้องสอนและแนะนำเราจนชำนาญนั่นแหละ ฉันนึกในใจ การให้ความรู้จากหมออนามัยไม่เพียงแต่สอนให้ฉันวัดความดันเป็น หรือเจาะเลือดเป็นเท่านั้น หมอยังบอกฉันด้วยว่าระดับความดันโลหิตเท่าไรจึงเรียกว่าผิดปกติ และระดับน้ำตาลเท่าไรถึงผิดปกติ “ถ้าความดันมากกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ก็ต้องแนะนำชาวบ้านเขาด้วยนะว่าให้มาหาหมอที่สถานีอนามัยอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้า” หมออนามัยสอนฉันจนฉันจำได้ดี “ต้องลดอาหารพวกเค็ม ๆ และอาหารมัน ๆ ด้วยนะ” เป็นคำพูดที่ฉันมักจะบอกคนในหมู่บ้านเสมอเมื่อฉันไปวัดความดันให้
สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากหมออนามัยนอกจากวิธีการวัดความดัน และการเจาะเลือดดูเบาหวานแล้ว สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้และนำประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ดูแลสุขภาพของคนในหมู่บ้านของฉันก็คือ “กลุ่มเสี่ยง” ต่อการเกิดโรค เมื่อฉันรู้ว่าใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งได้แก่คนที่มีญาติป่วยเป็นโรค และคนที่มีน้ำหนักเกิน เมื่อฉันพบเจอพวกเขาเหล่านี้ฉันจึงมักให้คำแนะนำและให้ความรู้ พร้อมกับเชิญชวนให้พวกเขามาวัดความดันกับฉันเสมอ “มีฉี่บ่อย น้ำหนักลดหรือเปล่า นี่คืออาการเบื้องต้นของเบาหวานนะ รีบไปตรวจ ยังพอรักษาทัน” ฉันมักจะถามเพื่อนบ้านอยู่บ่อย ๆ ที่เจอหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านค้า ที่วัด หรือที่ใด ๆ ก็ตาม
กำลังใจให้หมอน้อย
“ถ้าไม่ได้ต่าย ลุงก็คงจะแย่เหมือนกัน” ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงข้างบ้านบอกฉัน ในวันที่ฉันไปวัดความดันให้เพราะเพื่อนบ้านบอกว่าลุงขาดยามาหลายวันแล้ว ลุงแสงเดินไม่ได้ และช่วงที่ยาแกหมดลูกหลานก็ไม่อยู่ด้วย ฉันไปวัดความดันให้พร้อมกับมาบอกค่าความดันที่วัดได้ แล้วเอายาจากอนามัยไปให้ที่บ้าน ฉันไม่คิดว่านี่คือภาระ แต่นี่คือหน้าที่ของฉันต่างหาก อย่างน้อยลุงก็จะได้ไม่ขาดยา เพราะถ้าลุงขาดยา ความดันโลหิตของลุงแสงอาจจะเพิ่มมากขึ้นก็ได้ ฉันแอบเป็นปลื้มนิด ๆ กับคำพูดของลุงแสง
การให้การดูแลคนในหมู่บ้านบางครั้งก็ไม่ได้รับคำชมเหมือนกัน เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะว่าคนที่ฉันช่วยเหลือเขาคน เขาเป็นคนสติไม่ดีเลยไม่รู้จะชมฉันได้อย่างไร ป้าใจป่วยเป็นจิตเวชไม่ยอมไปหาหมอ ใครจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ไม่พ้นหมอน้อยที่ชื่อต่ายอย่างฉัน ฉันพูดปลอบโยนเป็นนานสองนานกว่าป้าแกจะยอมไป “ต้องไปเป็นเพื่อนป้านะ” ฉันรับปากว่าจะไปเป็นเพื่อนป้าใจแก ฉันติดต่อให้หมอจากโรงพยาบาลบ้านโป่งเขียนหนังสือส่งตัวเป็นที่เรียบร้อยก่อนถึงวันที่ฉันจะพาป้าใจไป ในวันที่ไปนั้นฉันมีธุระสำคัญเกี่ยวกับการขอไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านกับปลัดเทศบาล ตอนช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเช้า ฉันคิดว่าอย่างไรเสียก็ไปทันแน่ ๆ ฉันพาป้าใจไปที่คลินิกฟ้าใสที่โรงพยาบาลราชบุรี พยาบาลมีการตรวจวัดความดันโลหิตให้ด้วย ผลปรากฏว่าความดันของป้าใจ 180/100 มิลลิเมตรปรอท หลังจากที่ได้ตรวจจากหมอจิตเวชแล้ว คุณหมอก็แนะนำว่าควรจะได้รับการตรวจเรื่องความดันโลหิตจากหมออายุรกรรมด้วย ฉันเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ มันเป็นเวลาใกล้จะ 10 โมงเช้าอยู่แล้ว ฉันจะกลับไปทำธุระที่เทศบาลตอนนี้ก็ไม่ทันอยู่ดี นึกว่าไหน ๆ ก็ไหน ๆ พาป้าใจแกไปตรวจที่แผนกอายุรกรรมด้วยดีกว่า เพราะว่ากว่าจะเกลี้ยงกล่อมให้แกมาวันนี้ได้ก็ใช้เวลานาน กลับไปแล้วต้องพาไปหาหมออีกที กลัวแกจะเปลี่ยนใจเสียก่อน ฉันจึงต้องพาป้าใจแกไปตรวจต่อ กว่าจะรับยาเสร็จก็เวลาล่วงเลยไปเกินเที่ยงวันแล้ว วันนั้นฉันกลับถึงบ้านเกือบบ่ายสองโมง ธุระสำคัญที่ต้องมาติดต่อกับเทศบาลมีอันต้องเลื่อนไป ฉันโทรมาขอโทษปลัดเทศบาลพร้อมกับขอนัดวันใหม่ ฉันคิดดูแลเรื่องของป้าใจน่าจะสำคัญและเร่งด่วนกว่า อาการของป้าใจดีขึ้น ได้รับทั้งยาโรคจิตและยาความดัน อย่างน้อยป้าใจก็พ้นภาวะฉุกเฉินของชีวิตไปได้ ถึงแม้ฉันจะเหนื่อย แต่ฉันก็อดภูมิใจไม่ได้เมื่อเดินอยู่ในหมู่บ้านและได้พบหน้าป้าใจพร้อมกับรอยยิ้มของแก
ความฝันที่ต่อยอดจากการเป็น อสม.
ฉันเป็น อสม. อยู่ประมาณ 15 ปี ในปี พ.ศ. 2544 ฉันก็ได้รับเลือกตั้งให้เป็น อบต.ของหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ ฉันได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น หลายคนในหมู่บ้านเทคะแนนเสียงให้ฉัน ทุกคนรู้จักฉันดีเพราะฉันทำงานบริการด้านสุขภาพให้กับคนในหมู่บ้านของฉันเอง และในปี 2548 ฉันได้มีโอกาสสมัครเป็นสมาชิกเทศบาลตำบลกรับใหญ่ ฉันได้รับการเลือกตั้งอีกเช่นเคย ฉันอดนึกไม่ได้ว่า “นี่คงเป็นเพราะผลแห่งการได้ช่วยเหลือคนในช่วงของการเป็น อสม. อย่างแน่นอน ถึงแม้ตำแหน่งในหมู่บ้านของฉันจะเปลี่ยนไปอย่างไร หน้าที่ในการดูแลสุขภาพของคนในหมู่บ้านฉันก็ยังคงทำต่อไป ฉันเองกลับรู้สึกว่าฉันช่วยเหลือคนในหมู่บ้านได้มากยิ่งขึ้น สะดวกยิ่งขึ้น
อย่างเกริ่นเล่ามาตังแต่ต้นแล้วว่าฉันต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบชั้นประถมปีที่ 6 เพราะพ่อแม่ไม่สามารถส่งลูกเรียนหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกันได้ แต่เมื่อฉันได้สมัครเป็น อสม. แล้ว ฉันก็ได้มีโอกาสพัฒนาตนเอง ฉันเรียน กศน. ในโครงการที่ส่งเสริมให้ อสม.ได้เรียนต่อเพื่อปรับวุฒิของตนเอง ฉันเรียน กศน. จนจบมัธยมปีที่ 6 ฉันรู้สึกดีใจมาก แต่ที่ฉันดีใจมากกว่านั้นก็คือ การเป็น อสม. ของฉันได้พาฉันไปสู่ฝันให้ฝันของฉันเป็นจริง คือการได้รับพระราชทานปริญญาบัตร หลังจากที่ฉันเรียน กศน. จนจบ ม. 6 แล้ว ฉันก็มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ในสาขา ........ วิชาสุดท้ายเพิ่งได้รับแจ้งผลการเรียนว่าผ่านเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ฉันใช้เวลาเรียนแค่สามปีครึ่งแค่นั้นเอง ฉันรู้สึกดีใจมากที่ชีวิตการเป็น อสม. ให้พาให้ฝันของฉันเป็นจริงในหลาย ๆ เรื่อง ไม่เพียงแต่ฉันเท่านั้นที่ภาคภูมิใน แม้แต่บุคคลในครอบครัวของฉันก็ภูมิใจในตัวฉัน
ฝันแห่งอนาคต
เมื่อฉันได้เป็นสมาชิกเทศบาล (สท.) บทบาทหน้าที่คือการทำงานในภาพรวมตั้งตำบล แต่เมื่อฉันเหลียวกลับมามองหมู่บ้านตนเองที่ตั้งอยู่ไกลจากอนามัย ไม่มีวัด ไม่มีโรงเรียน ซึ่งฉันคิดว่าแหล่งสาธารณประโยชน์ในหมู่บ้านมีน้อยเกินไป ต้องการพัฒนาและอีกมาก ฉันตั้งเป้าหมายในชีวิตใหม่ว่าฉันน่าจะสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้านประจำหมู่บ้านที่ฉันอยู่มากกว่า เพราะการเป็นผู้ใหญ่บ้านฉันสามารถที่จะช่วยหรือพัฒนาหมู่บ้านของฉันได้อย่างง่ายและสะดวกกว่า สำหรับเรื่องการดูแลสุขภาพของประชาชนในหมู่บ้านแล้ว ฉันตั้งเป้าหมายว่าฉันจะตั้งศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ขึ้นในหมู่บ้านของฉัน ฉันได้พูดคุยปรึกษาเรื่องนี้กับแม่แล้ว ว่าขอให้แม่บริจาคที่ดินเพื่อปลูกสร้างเป็นศาลาแล้วจัดตั้งเป็น ศสมช. ซึ่งแม่ก็ยินดียกที่ดินให้ ขณะนี้ศาลาได้สร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือแต่การปรับปรุงต่อเติมให้เป็นสถานที่ที่จะให้บริการด้านสุขภาพ หรือที่เรียกว่า ศสมช. ไว้คอยให้บริการแก่เพื่อนบ้านของฉันที่ช่างอยู่ห่างไกลจากอนามัยเสียเหลือเกินได้ โดยฉันคิดเอาไว้ว่าจะขอให้หมออนามัยจัดอบรมคนในหมู่บ้านให้เป็น อสม. เพิ่มขึ้นอีก 4 – 5 คน แล้วฉันก็จะช่วยผลักดันให้ อสม. เหล่านั้นได้ทำหน้าที่ดูแลทุกข์สุขด้านสุขภาพของคนในหมู่บ้านของพวกเราเฉกเช่นอย่างที่ฉันได้ปฏิบัติมา ฉันคิดว่าเรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องของพวกเราเอง ถ้าต้องพึ่งพาหมอไปเสียทุกเรื่อง สุขภาพของเราจะดี เราจะปลอดโรคได้อย่างไร
ชีวิตการเป็น อสม. ที่ผ่านมา ถึงแม้บางครั้งฉันอาจจะได้ยินใครบางคนพูดว่า “ทำงานเพื่อเอาหน้า” ฉันก็ไม่หวั่นต่อคำพูดนั้น การได้มีส่วนช่วยเหลือและช่วยดูแลสุขภาพของคนในหมู่บ้านตลอดช่วงเวลายาวนานมากกว่า 20 ปี มันได้สร้างความภาคภูมิใจให้ฉันได้มากมายหลายเรื่องราว นี่ต่างหากคือสิ่งที่บ่งบอกว่าฉันได้ทำหน้าที่ของฉันอย่างไรในหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่ …….
อรชร โวทวี ผู้ถ่ายทอดและบันทึกเรื่องเล่า
สักวันความีที่ได้ทำวันละนิด จะเปล่งแสง เป็นพลังที่คาดไม่ถึง
ดีชั่วอยู่ที่ทำตัว สูงตำอยู่ที่ตัวทำ