เรื่องการผิดวินัยร้ายแรงถึงขั้นหมดสภาพความเป็นภิกษุหรือที่เรียกว่า ปาราชิก นั้น ผมเล่าไปแล้ว ตอนนี้ผมขอเล่าเรื่องการผิดวินัยอื่นๆ หรือที่เรียกรวมๆ ว่า อาบัติ
อาบัติแบ่งเป็น 7 ประเภท คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฎ และ ทุพภาสิต ....ไม่ต้องตกใจนะครับ ผมเองก็ไม่ได้รู้จักทุกประเภทหรอกครับ นี่ลอกมาจากหนังสือนวโกวาท (หลักสูตรนักธรรมชั้นตรี) แต่เท่าที่ได้เรียนได้ฟังจากพระอาจารย์สอนมา ก็พอจำได้สองสามประเภท ก็ขอเล่าเท่าที่จะเล่าได้
อาบัติที่ร้ายแรงรองจากปาราชิก คือสังฆาทิเสส มีอยู่ 13 ข้อ เช่น
- แกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อน
- จับต้องกายหญิง (เส้นผมก็ไม่ได้ครับ) แต่ถ้าโดนเดินบังเอิญ ไม่เป็นไรครับ ดูเจตนา
- พูดเกี้ยว พูดหรอกให้หญิงมาบำเรอกาม หรือเป็นพ่อสื่อให้ชายหญิงได้กัน
- แกล้งหรือกล่าวร้ายภิกษุอื่นให้ต้องปาราชิก ไม่ฟังคำเตือนภิกษุอื่น ฯลฯ
อาบัติสังฆาทิเสสนี้แม้จะหนัก แต่ยังถือว่าแก้ไขได้ โดยการ “อยู่กรรม” เป็นเวลา 7 วัน พระอาจารย์เล่าว่าการอยู่กรรมนี้ พระจะถูกตัดสิทธิ์หลายอย่าง เช่น การลำดับอาวุโส เวลาเดินบิณฑบาตรหรือฉัน ก็ต้องไปอยู่ต่อท้ายพระใหม่เลย การรับของ ก็ต้องให้ของดีๆ แก่พระรูปอื่น ตัวเองต้องรับของที่แย่ที่สุด
ที่ดูน่าอัปยศมาก คือ การประจานตัวเองโดยบอกแก่พระทุกองค์ว่าตัวเองทำผิดอะไร “ทุกวัน” ถ้ามีพระรูปอื่นมาที่วัดเรา ก็ต้องเขาไปบอกพระรูปนั้นด้วยว่าเราทำผิดอะไร แล้วถ้าลืมบอก ก็ต้องเริ่มนับวันกันใหม่เลย
อาบัติที่ผมรู้จักอีกประเภท เป็นอาบัติแบบกลางๆ เรียกว่า ปาจิตตีย์ ถ้าทำผิดก็กล่าวคำแสดงอาบัติกับพระรูปอื่นที่ไม่ได้อาบัติในเรื่องนั้น เช่น เรื่องฉันสาหร่าย หรือยืนฉันน้ำ ที่เคยเล่าไปแล้ว
ส่วนกรณีอื่นๆ เช่น
- นั่งในที่แจ้งกับผู้หญิงสองต่อสอง (เลี่ยงได้โดยต้องนั่งกันหลายคน หรือพระยืน ผู้หญิงนั่ง) หรือนั่งในห้องกับผู้หญิง (แก้โดยให้มีผู้ชายอยู่ด้วย)
- กินอาหารที่ยังไม่มีผู้ประเคนให้ (ยกเว้นน้ำ)
- ว่ายน้ำเล่น (ข้อนี้น่าจะรวมถึงพระเล่นน้ำตกไม่ได้ด้วย หรือเปล่า)
ที่ตลกๆ ก็มี เช่น
- ไปดูกระบวนทัพที่เขายกไปเพื่อจะรบกัน (มหาเถรคันฉ่องในหนังนเรศวร เดินกลางสนามรบเลยครับ :) สงสัยคืนนั้นท่านต้องรีบปลงอาบัติ แต่ไม่มีพระรูปอื่นเลยนี่)
- ภิกษุจี้ภิกษุ (จักกะจี้นะครับ ไม่ใช่ปล้นจี้)
- หลอกภิกษุให้กลัวผี (สงสัยจังว่าสมัยก่อนหลอกกันแบบไหน)
- เอาของบริขาร (เช่น บาตร จีวร ประคดเอว) ของภิกษุไปซ่อนเพื่อล้อเล่น (ชอบเล่นจริงๆ )
การบัญญัติวินัยไว้หยุมหยิมแบบนี้ แสดงว่าสมัยก่อนพระก็ขี้เล่นไม่เบา พระอาจารย์เล่าว่า ช่วงกลางๆ ของการเผยแพร่ศาสนาของพระพุทธเจ้า มีคนมาบวชกันมาก จึงเกิดปัญหาขึ้นต้องบัญญัติพระวินัยขึ้นควบคุม ข้อไหนตั้งแล้วก็มีพวกเลี่ยงบาลี ก็ต้องตั้งข้อใหม่ให้ครอบคลุมหรือละเอียดขึ้นไปอีก จนพระต้องมีวินัยถึง 227 ข้อ หรือถือศีล 227 ข้อ (เรียกว่า ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน สงสัยพระวินัยอาจมีมากกว่า 227 ข้อก็เป็นได้นะครับ) ไม่เหมือนสมัยแรกๆ ที่พระที่ฟังพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันหมด อยู่กันได้โดยไม่มีปัญหา
อาบัติแม้จะแก้ได้ด้วยวิธีต่างๆ แต่วินัยเหล่านี้ก็มีไว้เพื่อให้พระครองสติระลึกรู้ว่าทำอะไรๆ อยู่ในหนทางที่ควรแก่การนำไปสู่ความสงบของจิตหรือไม่ ถ้าทำผิดก็ต้องหันมาปรับปรุงตัวเอง
มิใช่ว่าผิดแล้วก็ทำผิดได้อีก เพราะคิดว่าเดี๋ยวกล่าวคำแสดงอาบัติก็แล้วกันไป แบบนี้พระใหม่ไม่ควรทำ
ที่บอกว่าอาบัติสังฆาทิเสสต้องอยู่กรรม 7 วันนั้นผิดครับ แท้ที่จริงแล้วต้องอยู่กรรมตามจำนวนวันที่ปกปิดอาบัติสังฆาทิเสสนั้นครับ เช่น ปกปิดมา 1 ปี ก็ต้องเข้าอยู่กรรม 1 ปี ส่วนอย่างอื่นที่ท่านอธิบายมานั้นก็ถูกนะครับ