การตัดสินใจเรื่องการรักษา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยภาวะวิกฤตที่คุกคามถึงชีวิต
มีประเด็นที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
นอกเหนือไปจากเรื่องโรคและอาการทางกาย
กิจกรรมนี้ผมยังยึดหลัก ให้น้องหมอได้สัมผัสสถานการณ์ด้วยตัวเอง
มีโอกาสได้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำงานวิเคราะห์ด้วยกัน
หลังจากถูกแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่มคละภาควิชาเหมือนเคยแล้ว ผมแจกกรณีผู้ป่วยให้แต่ละกลุ่มๆ ละ ๑ คน ที่มีอาการเริ่มต้นสั้นๆ เหมือนกัน คือ
คนไข้ผู้หญิงอายุ ๖๔ ปี
เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปอดระยะลุกลาม
ครั้งนี้คนไข้มาที่ห้องฉุกเฉินในสภาพนอนมา ไม่ค่อยรู้ตัว สับสน กระสับกระส่าย
คำถามคือ จะทำอะไรให้คนไข้คนนี้บ้าง
แน่นอนนะครับ ข้อมูลสั้นๆเพียงแค่นี้
คงช่วยให้หมอตัดสินใจอะไรยังไม่ได้
เราคงต้องมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายเรื่อง
นี่เป็นส่วนหนึ่งของเกมส์ คือ
แต่ละกลุ่มต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติม
ทุกกลุ่มจะขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผมได้รอบละ ๑ ประเด็นเท่านั้น
ใครได้ข้อมูลที่เหมือนจะเป็นกุญแจก่อน
ก็จะสามารถตัดสินใจเรื่องการรักษาได้ก่อน
กลุ่มที่ยังได้ข้อมูลไม่เพียงพอ
ก็ต้องขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผมในรอบถัดไปเรื่อยๆ
ครับ..ทุกกลุ่มต้องปรึกษากันให้ดีว่า ข้อมูลอะไรที่คิดว่าสำคัญที่สุด
ควรรู้ก่อน
กลุ่มที่คิดว่าได้ข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจแล้ว ก็จะตอบผมว่า
วางแผนดูแลคนไข้อย่างไร แล้วจึงมาฟังผมเฉลยอีกที
ถ้าถูกต้องก็เป็นฝ่ายชนะ
ข้อมูลที่ถูกขอในลำดับแรกๆ จะเป็นเรื่องประวัติเพิ่มเติม การตรวจร่างกาย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ แต่บางกลุ่มก็ถามถึงประวัติการรักษาในอดีต ประวัติครอบครัว และความต้องการของผู้ป่วยและญาติที่เคยแสดงเจตจำนงไว้
กลุ่มแรกที่ตอบก่อน เป็นกลุ่มที่ได้ขัอมูลว่า คนไข้มีระดับเกลือแร่โซเดียมต่ำมาก สภาพร่างกายก่อนหน้านี้ค่อนข้างดี และครอบครัวคนไข้ต้องการให้การรักษาถึงที่สุด จึงให้การดูแลเรื่องเกลือแร่ สำหรับภาวะ syndrome of inappropriate anti-diuretic hormone secretion คนไข้กลับมามีชีวิตอยู่ได้ในระดับดีอีกถึง ๙ เดือน
กลุ่มที่สองที่ตอบตามมาคือ คนไข้ที่มีมะเร็งลุกลามไปสมอง สภาพร่างกายก่อนหน้านี้เหมือนคนปกติ คนไข้ต้องการให้รักษาเต็มที่ เมื่อให้การดูแลเบื้องต้นและได้รังสีรักษาที่สมอง คนไข้สามารถกลับไปทำงานได้ ๔ เดือน ก่อนเป็นกลับซ้ำอีกครั้งแล้วเสียชีวิต
กลุ่มสุดท้ายที่ตอบหลังสุด ได้ข้อมูลตั้งแต่ต้นว่า
ทั้งคนไข้และครอบครัวไม่อยากให้ทำอะไรมากกว่านี้
แต่ด้วยความละเอียดรอบคอบจึงขอข้อมูลเพิ่มเติมจากผมยังไม่รีบตัดสินใจ
จนกระทั่งรู้ว่า คนไข้มีสภาพแย่แบบนี้มานานแล้วซึ่งเป็นจากโรค
แต่มีอาการมากขึ้นครั้งนี้เนื่องจากปัสสาวะไม่ออก กระเพาะปัสสาวะเต็ม
เมื่อสวนปัสสาวะและปรับยาสำหรับอาการสับสน
คนไข้อาการดีขึ้นแล้วเสียชีวิตหลังจากนั้น ๒ สัปดาห์
เราเริ่มต้นจากคนไข้ที่มีประวัติเหมือนกัน
แต่เมื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้น
การตัดสินใจเรื่องการดูแลรักษาแตกต่างกันไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโรค
ส่วนหนึ่งเป็นความปรารถนาของคนไข้
และส่วนหนึ่งเป็นโอกาสที่การดูแลรักษาของเราจะประสบความสำเร็จหรือไม่
palliative care
ไม่ใช่ไม่ทำอะไรให้คนไข้ หรือมีแต่คำพูดหวานๆ มีแต่มือให้กุม
มีแต่เทปธรรมะแล้วบอกให้ทำใจ กรณีศึกษาที่ผมนำเสนอให้ทั้ง ๓
กลุ่มได้เรียนรู้ ก็คือ
จากมุมหนึ่ง ถ้าเดิมคนไข้สภาพร่างกายเคยดีอยู่
อาการครั้งนี้เป็นสิ่งที่เราไม่คาดการณ์ไว้ก่อน
ภาวะนี้สามารถดูแลรักษาให้ดีขึ้นได้ตามความรู้ความสามารถที่เรามีอยู่
และผู้ป่วยและญาติก็ต้องการ ในกรณีแบบนี้
หมอก็น่าจะดำเนินการรักษาเต็มที่
ตรงกันข้ามในอีกมุมหนึ่ง คนไข้สภาพร่างกายหนักอยู่มานานแล้ว อาการที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นสิ่งรับรู้อยู่แล้วว่าเป็นลำดับการดำเนินโรค แล้วก็ไม่สามารภแก้ไขให้ดีขึ้นได้ รวมทั้งผู้ป่วยและญาติก็เคยแสดงเจตจำนงว่าไม่ขอรับการรักษา หมอก็น่าจะดำเนินการเพียงการดูแลให้สุขสบาย
วิชาแพทย์จึงเป็นศิลปะก็ตรงนี้แหละ กรณีคนไข้ที่อยู่ระหว่างสองมุมดังกล่าวข้างบน ที่จะต้องพิจารณาเป็นรายๆไป
palliative care ไม่ใช่ไม่ทำอะไรให้คนไข้ หรือมีแต่คำพูดหวานๆ มีแต่มือให้กุม มีแต่เทปธรรมะแล้วบอกให้ทำใจ
อ่านแล้วกินใจจัง...
เป็นกำลังใจให้คุรหมอทุกท่านเพื่อคนไข้วาระสุดท้ายค่ะ
จำเป็นมากน้อยแค่ไหนคะที่เราจะต้องกล่าวคำไว้อาลัยให้แก่คนๆนึงที่กำลังจะจากไป
คุณ nui ครับ