๑. สหภาพพม่าเป็นประเทศที่เป็นที่อยู่ของคนหลายกลุ่มชาติพันธุ์นับแต่อดีต จนกระทั่งปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยสภาพปัญหาทางการเมืองภายในประเทศทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นของกลุ่มคนบางกลุ่มมายังประเทศไทย “คนจากพม่า” ทุกคนที่เดินทางจากพม่ามายังประเทศไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย มิได้ความว่าพวกเขาเหล่านั้นทุกคน เป็น”คนพม่า” หรือเรียกอย่างเป็นทางการในภาษากฎหมายว่า “คนสัญชาติพม่า”
๒. กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดการประชากรในรัฐต่าง ๆเราเรียกกันว่ากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ซึ่งเนื้อหาส่วนที่เกี่ยวข้องคือ การจัดสรรเอกชนในทางระหว่างประเทศ ในส่วนของกฎหมายไทย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการจัดการประชากรภายในรัฐ คือ
- กฎหมายว่าด้วยสัญชาติ
- กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร
- กฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
๓. การที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีสัญชาติใดนั้นตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้นกำหนดให้เป็นอำนาจอธิปไตยอย่างเด็ดขาดของรัฐผู้ให้สัญชาติ และถือเป็นเรื่องภายในของรัฐแต่ละรัฐ ในการกำหนดเงื่อนไขในกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสัญชาติของบุคคลที่อยู่ภายในรัฐนั้น ซึ่งรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปตัดสินแทนรัฐผู้ให้สัญชาติว่าบุคคลดังกล่าวมีสัญชาติของรัฐผู้ให้สัญชาติหรือไม่ ดังนั้นการที่จะตัดสินว่าใครคนใดคนหนึ่งเป็น”คนพม่า” หรือเป็น “คนสัญชาติพม่า” หรือไม่นั้น รัฐไทยหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยไม่มีสิทธิไปตัดสิน รัฐเพียงรัฐเดียวตามกฎหมายระหว่างประเทศที่มีสิทธิในการชี้ขาดว่าบุคคลใดบ้างเป็น “คนพม่า” หรือ ถือเป็น “คนสัญชาติพม่า” ได้แก่ “รัฐพม่า” เพราะเรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องภายในของพม่าในการออกกฎเกณฑ์กำหนดเงื่อนไขในการให้สัญชาติแก่บุคคล
๓. คนบางกลุ่มซึ่งมีความสัมพันธ์กับรัฐไทยอย่างเข้มข้น หรือมีจุดเกาะเกี่ยวกับรัฐไทย ซึ่งโดยทั่วไปก็จะอาศัยจุดเกาะเกี่ยวในด้านบุคคลและจุดเกาะเกี่ยวในด้านภูมิลำเนาก็สามารถที่จะแปลงสัญชาติเป็น “คนไทย” หรือ “คนสัญชาติไทย” ได้โดยชอบด้วยกฎหมายไทย ทั้งนี้กฎหมายไทยมิได้มีหลักเกณฑ์ในเรื่องเชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์ ที่ห้ามแปลงสัญชาติเป็นสัญชาติไทย ดังนั้นคนจากพม่าบางคนที่มีความสัมพันธ์กับรัฐไทยอย่างเข้มข้นย่อมจะมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายไทยที่จะแปลงสัญชาติเป็น “คนสัญชาติไทย”ได้
๔. หากวิเคราะห์จากระบบกฎหมายและทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการประชากรของประเทศไทยแล้ว ถือว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้สัญชาติกับคนต่างด้าวค่อนข้างยาก เนื่องจากในทางปฏิบัติในการขอแปลงสัญชาติในกรณีทั่วไป เจ้าหน้าที่จะใช้เกณฑ์เรื่องการมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรตามกฎหมายมหาชนเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้สัญชาติ เว้นกรณี มีจุดเกาะเกี่ยวอื่นๆเป็นกรณีพิเศษที่กฎหมายยกเว้นไม่ต้องนำหลักเกณฑ์เรื่องภูมิลำเนามาใช้พิจารณาในการให้สัญชาติ
๕. เมื่อมองจากภาพรวมเกี่ยวกับการจัดการประชากรของรัฐไทยแล้ว พบว่า รัฐไทยมี นโยบายและกฎหมาย ที่ชัดเจนพอสมควรในการรับมือกับปัญหา “คนจากพม่า” ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและจะมีมาอีกในอนาคตเห็นได้จากการที่ประเทศไทยมียุทธศาสตร์การจัดการสิทธิและสถานะของบุคคล ตามมติของคณะรัฐมนตรีลงวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ และในเรื่องทางกฎหมายประเทศไทยก็ได้มีกฎหมายเพียงพอที่จะรับมือกับการเคลื่อนย้ายประชากรของ “คนจากพม่า”ที่อาจจะมีเข้ามาในอนาคตได้ คือประเทศไทยมีทั้ง กฎหมายทะเบียนราษฎร กฎหมายคนเข้าเมือง และกฎหมายสัญชาติ ซึ่งกฎหมายทั้งสามฉบับที่รัฐไทยมีอยู่นี้ เพียงพอที่จะใช้จำแนก “คนจากพม่า”ออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้อย่างชัดเจน และสามารถที่จะจำแนก “คนจากพม่า” ออกจาก”คนที่มีสัญชาติไทย” รวมทั้งสามารถที่จะจัดการคนต่างด้าวได้ ส่วนปัญหาทางกฎหมายส่วนใหญ่ที่มักเกิดกับ ”คนจากพม่า” นั้นได้แก่ปัญหาต่างๆ เช่น
- ความไร้รัฐ ไร้สถานะทางทะเบียน (อันนำไปสู่ปัญหาการไม่อาจเข้าถึงสิทธิต่างๆตามกฎหมายไทยได้)
- การเป็นผู้เข้าเมืองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
- การไร้สัญชาติ
- การเป็นบุคลผู้ไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ตามกฎหมายของไทยได้บัญญัติวิธีการแก้ไขปัญหาไว้อย่างค่อนข้างจะครบถ้วนแล้ว
ดังนั้นปัญหาที่สำคัญของรัฐไทยเกี่ยวกับการดำเนินการกับ “คนจากพม่า” จึงคงเหลือเพียงขั้นตอนการนำกฎหมายไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงของบุคคลจากพม่าเป็นกรณีๆไป แต่ปัญหาที่สำคัญของประเทศไทย คือ ปัญหาในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายที่ขาดมีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น มีการเลือกปฏิบัติเพราะมายาคติในด้านเชื้อชาติ และการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เองที่ขัดแย้งกับกฎหมาย
๖. เจ้าหน้าที่ของรัฐไทยยังมีความสับสนอยู่มากในประเด็นการยอมรับความเป็นบุคคลของ “คนจากพม่า” และมักจะคิดว่าการรับรองสถานะความเป็นบุคคล คือการให้สัญชาติ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูก
๗. ประเทศไทยมีหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่จะต้องรับรองและปฏิบัติต่อ ”คนจากพม่า” ในฐานะที่กลุ่มคนเหล่านี้ ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกัน
๘. ประเทศไทยจะลดภาระเรื่องคนจากพม่าทั้งในระยะสั้น และระยะยาว หากสหภาพพม่าสามารถยุติปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ และภายในประเทศได้
ข้อเสนอแนะ
๑. รัฐไทยควรมีการจัดการศึกษาและประชาสัมพันธ์ ให้ “คนไทย” ในปัจจุบันได้รับทราบถึงความยากลำบากของคนจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ “คนจากพม่า” และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทของ “คนจากพม่า” ในด้านเศรษฐกิจต่อสังคมไทยปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยในทุกระดับ ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่ของรัฐเองและประชาชน เพื่อป้องกันและลดอคติทางเชื้อชาติที่มีอยู่ในสังคมไทย รวมทั้งให้มีการปฏิบัติที่เท่าเทียมในฐานะที่ “คนจากพม่า”เหล่านี้ก็เป็น มนุษย์เฉกเช่นเดียวกับเรา พร้อมๆ กับการประชาสัมพันธ์ถึงงานการแก้ไขปัญหาคนจากพม่าในประเทศไทยให้นานาชาติทราบ เพื่อเข้าใจถึงความยากลำบากที่สังคมไทยได้รับจากปัญหาดังกล่าว
๒. ควรมีการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับ “คนจากพม่า” ในประเทศไทย ให้มีการขึ้นทะเบียนกับทางราชการไทยให้เรียบร้อยและถูกต้อง เพื่อความสะดวกในการกำกับดูแล และคุ้มครอง คนเหล่านี้ รวมทั้งประชาสัมพันธ์วิธีการเข้ามาทำงานในราชอาณาจักรไทยอย่างถูกกฎหมายให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้ทราบ
๓. ควรมีการทำการวิจัยปัญหาเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจัดการประชากรเพื่อแก้ไขกระบวนการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพขึ้น
๔. รัฐบาลไทยควรมีบทบาทในฐานะประเทศผู้นำในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติภายใน สหภาพพม่าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยพยายามโน้มน้าวให้ทั้งรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่างๆเข้าใจถึงคุณค่าของการอยู่ร่วมกันโดยยอมรับในความแตกต่าง และอาศัยความแตกต่างนี้เป็นทรัพยากรทางการท่องเที่ยวเพื่อหารายได้มาพัฒนาประเทศ
ไม่มีความเห็น