การจัดการความรู้ในโรงเรียนบ้านหนองยาง
กันตพงศ์ คงหอม
คุณภาพการจัดการศึกษาของเรานั้น ถูกมองว่าปฏิรูปแล้วก็ยังไม่ได้ผลเป็นรูปธรรมอีกทั้งไม่สามารถตอบสนองเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ ปัจจัยหลักที่สำคัญสุดคือครู การได้มาของครูในประเทศไทยเรานั้นไม่ได้มาจากกลุ่มของคนเก่งที่สุดในประเทศ เพราะคนเก่งเป็นผู้ที่มีความสามารถในการจัดการความรู้และสะท้อนเป็นรูปธรรมในเชิงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ฉะนั้นหากปัจจัยของครูซึ่งเป็นตัวป้อนกระบวนการและจัดการเรียนรู้ไม่ใช่คนเก่ง จากงานวิจัยพบว่านักเรียนคะแนนเฉลี่ยปานกลาง เมื่อได้เรียนกับครูที่เก่งผลการเรียนก็จะเพิ่มขึ้น และเรียนกับครูที่เก่งน้อยผลการเรียนจะลดลง ดูง่าย ๆ ก็คือว่า ครูผู้สอนในวิชาหรือสาระใดที่ทดสอบความรู้ในสาระนั้นแล้วได้น้อย ก็ยากที่จะสอนนักเรียนให้เก่งไปมากขึ้นได้ ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่าครูคือผู้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนแต่ถ้าไม่แม่นในเนื้อหาวิชา การจัดการเรียนรู้ก็ไม่เอื้อต่อความเป็นเลิศทางวิชาการ
การเพิ่มสมรรถนะของครูให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้คือแนวทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ซึ่งผู้บริหารต้องใช้ความสามารถในการบริหาร ให้เกิดกระบวนการจัดการความรู้ให้เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บริหารต้องหาวิธีการ หากพูดให้ชัดคือผู้บริหารก็ต้องเก่งพอ ถ้าไม่เช่นนั้นคงไปจัดระบบการจัดการความรู้ในโรงเรียนได้ หลายคนบอกว่าเมื่อทำเองไม่ได้ก็ให้ผู้มีความรู้มาเป็นวิทยากรในเรื่องของการจัดการความรู้ ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้เห็นผลเป็นรูปธรรมและยั่งยืน ผู้อำนายการต้องแสดงบทบาทของผู้นำทางวิชาการและให้เห็นคุณค่าของการจัดการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการทางการศึกษาที่ทำอยู่แล้วคือรูปแบบของการนิเทศ ซึ่งระบบของการนิเทศจะสะท้อนข้อมูลของครูชัดเจน ส่วนกระบวนการในการพัฒนาขึ้นอยู่กับบริบท หากจำนวนครูไม่มากก็แลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายใน หรือหากความรู้ในบางแขนงต้องการผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก็ควรจัดให้มีกิจกรรมพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาครูที่มีประสบการณ์และประสบความสำเร็จจากโรงเรียนใกล้เคียง มาเป็นวิทยากรก็น่าจเสริมสร้างสมรรถนะของคนในองค์กรและผู้บริหารคงไม่ลืมพัฒนาสมรรถนะการจัดการความรู้ของตนเองให้เป็นแบบอย่างคนในองค์กรต่อไป
การจัดการความรู้ เป็นสิ่งที่ดีหากหน่วยงาน หรือสถานศึกษานำมาใช้อย่างจริงจัง การจัดการความรู้มีหลักการง่าย ๆ คือ share and share โดยเริ่มจาก 1. Knowledge Acquisition (การจัดหาความรู้) 2. Knowledge Storage and Retrieval (การจัดเก็บและค้นคืนความรู้) 3.Knowledge Usage (การใช้ความรู้) 4. Knowledge Transfer (การแบ่งปันความรู้) 5. New Knowledge creation (การสร้างความรู้ใหม่) และใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีพื้นฐาน หรือเทคดนโลยีที่ทันสมัย เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการจัดการ (Management) ให้เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน ก็หวังว่าการจัดการความรู้ในโรงเรียนบ้านหนองยาง คงจะประสบความสำเร็จ