ไชโย ไชโย เราป่วยแล้ว...


 

สองสามวันนี้เองร่างกายนี้แสดงภาวะปกติอันเป็นวิถีแห่งธรรมชาติ “ไชโย ไชโย เราป่วยแล้ว เรื่องธรรมชาติเกิดกับเราแล้ว...”

นานเป็นปีแล้วสินะที่เราไม่ได้ป่วย การไม่ป่วยถือเป็นเรื่องผิดปกติแห่งกายนี้
การไม่ป่วยนาน ๆ ทำให้เราพลั้งเผลอ ชะล่าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ประมาทในมรณะภัย” ที่กำลังคืบคลานเข้ามา

การป่วยนี้เองเป็นความทุกข์ บางคนจึงต้องทนทุกข์ไปจนตาย และในบางรายต้องยอมตายเพื่อหนีความทุกข์

หากเราเข้าใจว่าเรื่องป่วยนี้เป็นเรื่องปกติ ที่ย่อมต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เราจึงจะสามารถยอมรับความทุกข์อันเป็นเรื่องปกตินี้ได้
ครั้นเมื่อเรายอมรับได้ “กายทุกข์ ใจนั้นย่อมไม่ทุกข์”

สังขารทั้งหลายย่อมเสื่อมเป็นไปธรรมดา ซึ่งใครจะล่วงพ้นไปไม่ได้
กาลนี้ ลมหายใจนี้ ขอจงรีบเร่งขวนขวายทำกรรมดี เพราะพรุ่งนี้อาจจะไม่มีสำหรับเรา...


คำสำคัญ (Tags): #ป่วยกาย#ป่วยใจ
หมายเลขบันทึก: 242040เขียนเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2009 11:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

หากใจทุกข์กับกายที่ป่วย จะทำให้ความป่วยทางกายเพิ่มหลายเท่า จริงๆด้วย!

หากทำตามวิธี พระพุทธองค์ หมั่นเจริญสติ ภาวนา

กายทุกข์(ตามปกติ) แต่ใจไม่ได้ทุกข์ด้วยเลย ได้ จริงๆด้วย

ขอให้ท่านหายเร็วๆ

สาธุ สาธุ สาธุ ท่านกล่าวได้ถูกต้องแล้ว

ความเกิดทั้งปวงเป็น "ความทุกข์"

ประดุจเห็ดที่ผุดขึ้นมาจากดินนั้นย่อมมีดินติดขึ้นมาด้วย

หรือเปรียบประหนึ่งวัวหรือควาย ที่จะเดินไปใดย่อมมีเกวียนติดตามไปด้วยก็ฉันนั้น

ความทุกข์นี้ก็เช่นนั้น เมื่อมีการเกิด ย่อมมีความทุกข์ติดตามมาด้วยเป็นธรรมดา ไม่มีใครจักล่วงพ้นความธรรมดาแห่งธรรมชาตินี้ไปได้

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา

หากยอมรับและเข้าใจความธรรมดานี้ได้อย่างท่านว่า จิตใจนี้จักพ้นทุกข์ ดุจดั่งธรรม...

หากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป้นปกติของชีวิต ความทุกข์นั้นก็จะลดลงคะ

ขอบคุณที่ได้ข้อคิดและเตือนสติคะ

แต่ก็ยาก! จริงๆ

กายทุกข์(ตามปกติ) แต่ใจไม่ได้ทุกข์ด้วยเลย

ชีวิตนี้เคยครั้งเดียว โดยบังเอิญ (จำได้เลย สักปีกว่า)

คือมันเจ็บปวดทรมานมากจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย

ทีนี้นอนโอดครวญ (จิตมันโอดครวญตามไปด้วย)

ยิ่งเจ็บหลายเท่า

เห็นตัวเองเหมือนปลาติดเบ็ดเลย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งดิ้นยิ่งแน่น ยิ่งดิ้นยิ่งไม่รอด

พอมีอยู่แวบเดียว ใจยอมรับ (ไม่ต่อสู้) ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกธรรมะอะไร

แต่ว่ารู้ว่าตัวเองมาอยู่กับลมหายใจ(ภาษาชาวบ้านๆนี่แหละ)

โห แปลกมากเหมือนมันแยกได้ มองเห็นความเจ็บแต่ ไม่ใช่ฉันเจ็บเหมือนเมื่อกี้

คล้ายๆดึงความใส่ใจมาอยู่ที่ลมหายใจแทน

สัมผัสว่าลมหายใจตอนนั้น เบาบางเย็นแนบ จริงๆ

แล้วก็ผ่านไปได้ มันเจ็บนะ แต่ใจไม่เจ็บ สรุปเลยเจ็บน้อยลง

น่าสนใจ

พักหลังๆมารู้จักการเจริญสติ ก็โห นี่เลย learning by doing

มิน่าเห็นบางคนพอหมอบอกข่าวว่าเป็นโรคร้าย ตายเลย ที่ตายไม่ใช่โรค นะเราว่า เพราะใจไปแล้วมากกว่า ไอ้เนื้อร้ายนิดเดียวเหรอ จะมาสู้เนื้อดีในใจเราได้ ก้อนใหญ่กว่าอีก

น่าสนใจ

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานจริงๆ

ไงไงก็ขอให้เพื่อนๆทุกท่าน รวมทั้งอาจารย์สุขภาพดี

ทั้งนี้ทั้งนั้น

แต่ป่วยอะไร ป่วยทางกาย ไม่ร้ายแรงเท่า

ป่วยภายใน (ป่วยทางจิต) นะเราว่า

ป่วยภายในด้วยกิเลส นาประการ

ป่วยภายในอันนี้สิ สามารถนำมาซึ้งป่วยภายนอกทางกายได้ด้วย

เช่นบางคนโทสะมาก อาการประกฎทางผื่น ภูมิแพ้ ไมเกรน ปวดท้อง เป็นต้น

ถูกต้อง ๆ

ชีวิตย่อมเป็นเ่ช่นดังที่ท่านว่า

เกิด แก่ เจ็บ และตาย ล้วนแล้วแต่เป็นของธรรมดา

เมื่อมีเกิด เมื่อเราได้เกิด วันนั้นเราควรร้องไห้ เพราะนั่นคือ จุดเริ่มต้นแห่งความทุกข์

ทุกข์ที่จะต้องตามมา "ทั้งกาย และใจ"

ความตายนั่นหรือบางคนเรียกว่า "หมดทุกข์"

เพราะบางคนนั้นต้องทุกข์อย่างแสนสาหัส และต้องทุกข์ไปจนตาย

ก็เพราะว่าเรานั้นก็ตายมากกว่ากลัวทุกข์

แต่บางคนนั้นไม่กลัวตาย แต่กลัวทุกข์ เขาจึงต้องหนีทุกข์แล้วไปตาย

เมื่อตายแล้วก็ต้องตายอีก เมื่อเกิดแล้วก็ต้องเกิดอีก วนเวียนเป็นวงล้อแห่ง "วัฏฏะ"

เราทั้งหลายมิควรพอใจในการเกิดเลย

แต่เราทั้งหลายควรพอใจใน "การทุกข์"

เพราะทุกข์นั้นเป็นเหตุให้เกิด "เกิดโอกาส" ที่จะหมุนวงล้อแห่ง "อริยสัจ" อันว่าด้วย ทุกข์ สมุทัย นิโรค และมรรค

เราทั้งหลายโปรดใช้โอกาสป่วยนี้มาหมุนวงล้อแห่งอริยสัจเถิด

และผลอันเกิดจากการหมุนวงล้ออันนี้แล จักนำเราให้พ้นจากวัฏฏะนี้ได้แน่แท้พลัน...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท