แนวคิดทางสังคมต่าง ๆ ได้เข้ามามีผลต่อปรากฏการณ์ทางสังคมมากขึ้น “สิทธิ” ถูกนำมากล่าวอ้างเพื่อรองรับ “ศักดิ์ศรี” ความเป็นมนุษย์ในฐานะที่เป็นสมาชิกหนึ่งของสังคม หน้าที่ในฐานะลูกพึงกระทำต่อบุพการี แนวคิดเรื่องความทันสมัยที่สังคมต่าง ๆ เขาเปิดรับต่อกลุ่ม “เพศวิถี” กับ “พื้นที่ทางศาสนา” กรณีบาทหลวงเป็นเกย์ได้ รวมไปถึงการโต้แย้ง “บัณเฑาะก์ คือตัวอะไร” ทั้งยังมีผู้พยายามหาคำอธิบายว่านั่นเป็นบัญญัติที่ถูกออกมาในบริบทเดิม แต่ถ้าในกรณีผู้ปฏิบัติดี ตั้งใจปฏิบัติไม่เสื่อมเสียตามพระธรรมวินัยจะบวชได้หรือไม่ ? เอาพฤติกรรมของคนในอดีตมากำหนด “ศรัทธา” ของคนในปัจจุบัน รวมไปถึงการที่มีผู้ตีความ “ย้อน”พจนานุกรมศัพท์พุทธศาสน์ว่า
"กะเทยโดยกำเนิด" นั้น น่าจะหมายถึงคนที่มี อวัยวะเพศทั้งชาย
และหญิงตั้งแต่เกิด ในแง่นี้ กะเทยจึงไม่จำเป็นต้องหมายถึงเกย์เสมอไป
ขันที ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นว่าต้องหมายถึงเกย์ บัณเฑาะในความหมายที่ ๓
น่าจะหมายถึงเกย์มากที่สุด เพราะมีข้อความระบุว่า "ประพฤตินอกจารีต
ในทางเสพกาม" อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ได้ระบุเพียงแค่นั้น แต่ยังมีข้อความ
ต่อท้ายว่า"และ ยั่วยวนชายอื่นให้เป็นเช่นนั้น" ถ้าเช่นนั้นจะพูดได้ไหมว่า
เกย์ที่สงบเสงี่ยม มิได้ยั่วยวนชายอื่นให้"ประพฤตินอก จารีตในทางเสพ
กาม" ไม่จัดว่าเป็นบัณเฑาะก์ ดังนั้นจึงไม่อยู่ในข่ายห้ามบวช
ทัศนะนี้เป็นท่าทีตามกรอบคิดขัดแย้ง (Conflict) ถึงไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ก็ทำให้เห็นว่าทัศนะเชิงขัดแย้งอันเป็นกรอบที่ใช้อธิบาย “บทศึกษา” นี้ประการหนึ่ง และในอนาคตผู้เขียนเชื่อว่าประเด็นของความ “ขัดกัน”เหล่านี้ โดยเฉพาะการตีความตัวอักษร บทบัญญัติ ทัศนคติ หรืออื่นใดที่เป็นไปเพื่อสร้างพื้นที่ จะถาโถมต่อองค์กรคณะสงฆ์และผู้ยึดกุมต่อหลักบัญญัติที่ปรากฏอยู่เดิม ดังกรณีการตีความกลุ่มสตรีต่อการบวชเป็นภิกษุณีในสังคมไทย การอธิบายย้อน การตีความ และการหาองค์ความรู้มาเพื่อปรับและสร้างโลกทัศน์ใหม่ต่อการมีส่วนร่วมของชาวพุทธ แต่ก็ไม่สามารปรับเข้าหากันได้จนกระทั่งแยกกันทำแยกกันเดินอย่างที่ปรากฏอยู่ ฉะนั้นองค์ความรู้ต่อกรณีศึกษา และประเด็นทางสังคมยังมีความสำคัญและเป็นสิ่งจำเป็นต่อการที่ปรับทัศนคติของสังคมไทยเพื่อเปิดรับ และยอมรับต่อปรากฏการณ์อื่นนอกเหนือจากที่มีอยู่ เพื่อมีส่วนร่วมในการรักษาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาในภาพลักษณ์ที่หลากหลายขึ้น และมีผลเป็นการก้าวเดินของสังคมไทยในองค์รวมต่อไป
ทางออกต่อการบวช-ไม่บวชอยู่ตรงไหน ?
ประเด็นคำถามเหล่านี้อาจจะไม่มีคำตอบเสียทีเดียว แต่เป็นการอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ผ่านเงื่อนไข ยอมรับในความเป็นผู้มีสิทธิในฐานะมนุษย์คนหนึ่งของสังคมที่จะมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงการปฏิบัติธรรมเพื่อธรรมในทุกรูปแบบ แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังรู้สึกสงวนท่าที่ต่อพื้นที่อันเป็นลักษณะเฉพาะอยู่ ประเด็นคำถามต่อไปที่ว่าแล้วที่มีปรากฏอยู่และบวชอยู่จะมีคำถามอย่างไร ซึ่งตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่องค์กรสงฆ์กระแสหลักว่าจะหาทางออกอย่างไร การอนุญาตให้บวชแต่แรกเท่ากับการยอมรับกระนั้นหรือไม่ ? คำอธิบายจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอุปัชฌาย์/เจ้าอาวาส ก็จะบอกว่าตอนมาบวชไม่ได้แจ้งว่าเป็นไม่เป็น ใช่หรือไม่ใช่ เมื่อบวชมาแล้วก็ไม่ได้ทำเสียอะไร ดังนั้นจึงเป็นประหนึ่งเป็นการสมยอมต่อการตั้งชุมชนของกลุ่มพระที่เข้ามาบวชไป จนกระทั่งเกินกว่าการตรวจสอบและควบคุม ดังกรณีปรากฏเป็นประเด็นทางสังคม ?
ในทัศนะข้อขัดแย้งและทัศนะส่วนใหญ่มุ่งมองไปที่ผู้ปกครองระดับสูงของคณะสงฆ์ว่าทำไมไม่ออกกฎมาเพื่อป้องกันเสียมากกว่าที่จะอนุญาต โดยเจาะจงไปที่พระอุปัชฌาย์ที่ทำหน้าที่ “เลือก” เพื่อคัดสรรค์คนที่จะเข้ามาบวช แต่ในส่วนของอุปัชฌาย์ก็ให้ทัศนะว่า “ก่อนบวชเขาไม่ได้บอก” แต่เมื่อเข้ามาอยู่แล้วจึงมีพฤติกรรมดังกล่าว แต่เขาเหล่านั้นเมื่อบวชแล้วก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมอันใดที่ขัดต่อวินัยก็ไม่ว่าอะไรกัน ประหนึ่งสมยอมจนกระทั่งกลายเป็นนิคมของกลุ่ม “พระเพศวิถี” จนกระทั่งเป็นแสดงพฤติกรรมบางส่วนที่ “มาก” จนเกินขอบเขตที่กำหนด ดังเป็นข้อวิพากษ์ทางสังคมในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกันนั้นคณะสงฆ์ก็ไม่ได้มีมาตรการอันใดที่จะมารองรับประหนึ่งยอมรับกลาย ๆ จึงทำให้ภาพที่ปรากฏเป็นความ “ขัดกัน” ระหว่างหลักบัญญัติเดิมกับข้อเท็จจริงในการปฏิบัติ
ไม่มีความเห็น