ปลายธันวา ต้นมกรา ของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ทั้งครู ทั้งศิษย์ลุ้นกันตัวโก่งว่าปีนี้ ใครจะได้ไปเรียนต่อที่ไหนกันบ้าง บางคนก็ได้โควต้าของบางมดตั้งแต่ปลายปี ม.5 พวกนี้ก็เรียนกันแบบสบายๆ ไม่ซีเรียส แต่พวกที่ยังตัดสินใจไม่ได้ก็สมัครสอบกันอุดตลุด ไม่ว่ามหาวิทยาลัยไหนเปิดสมัครสอบตรงเป็นต้องวิ่งสมัครกันไปทั่ว สอบกันทีผู้ปกครองก็จ่ายกันกระเป๋าเป็นมัน แต่เพื่อลูก เพื่อการศึกษา แน่นอน พ่อแม่ก็เต็มใจจ่ายอยู่แล้ว แต่ก็มีพ่อบางคนแอบมาปรับทุกข์เหมือนกัน ลูกวิ่งสอบตั้งหลายมหาวิทยาลัยแล้ว และก็สอบได้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ตัดสินใจเลือกสักที ติดคณะนี้ ก็อยากเรียนมหาวิทยาลัยนั้น พอติดมหาวิทยาลัยนั้นก็อยากได้คณะโน้น พ่อลางานพาไปสอบจนเหนื่อย แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความรักลูก ไม่เคยบ่นกับลูกแต่มาบ่นกับครู ยังงี้แหละคนที่สอบติดก็ติดอยู่นั่นแล้ว คนที่สอบไม่ได้ครูก็ต้องคอยรอลุ้นคะแนนแอดมิดชั่น หลายคนสละสิทธิ์คณะที่สอบตรงเข้าไว้ พอมาแอดมิดชั่นก็ได้คณะเดิม มหาวิทยาลัยเดิม ไม่รู้จะสละสิทธิ์กันทำไม
เหตุของเรื่องนี้ก็เนื่องจากระบบสอบวิชาพื้นฐานหรือความถนัดของคณะต่างๆนั่นแหละ ลูกศิษย์ที่รักของครูก็สมัครสอบพื้นฐานวิศวะไปตามความนิยมของชายหนุ่มแห่งยุคสมัย แต่แวบหนึ่งแห่งการค้นหาตัวตน ทำให้ไปกดคีย์สมัครวัดแววความเป็นครู โดยอ่านกติกาไม่ละเอียด ผลที่ได้คือถูกตัดการสอบพื้นฐานวิศวะ แต่เจ้าตัวก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร ยังมีหลายมหาวิทยาลัยที่รับตรงโดยไม่ดูคะแนนส่วนนี้ เวลาแห่งความระทึกใจมาถึง เมื่อม.มหิดลประกาศผลสอบของการสอบตรง เมื่อต้นมกรา หลายคนติดแพทย์ บางคนติดพยาบาล เจ้าหนุ่มคนนี้ก็ได้เฮกับเขาเหมือนกัน ฮ่าๆ ติดวิศวะไฟฟ้าแต่ไม่มีคะแนนพื้นฐานวิศวะ ครูต้อยก็ปลอบใจไปว่า มหิดลอาจไม่เหมาะกับเรา เรียนครูดีกว่าไหนๆก็สอบความถนัดทางครูไปแล้ว แต่จะลองดูอีกทีก็ได้ ค่ารถไปสอบก็ไม่แพงเท่าไหร่ ลองไปสัมภาษณ์ดู เผื่อเขาจะเห็นความสามารถของเราแล้วไม่สนใจคะแนนที่เราไม่ได้สอบ เพราะถ้าเราสอบต้องได้คะแนนสูงอยู่แล้ว
ครูก็รอลุ้นด้วยความหวังว่าลูกศิษย์จะสอบสัมภาษณ์ผ่านสบายๆ แต่พอกลับมาจากสอบ ครูถามว่าผลสอบเป็นไง ลูกศิษย์บอกว่า เขาไม่ให้ผมสอบเลยครับ พอผมรายงานตัว จ่ายเงินค่าตรวจสุขภาพ แล้วก็ดำเนินการตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงหน้าห้องสัมภาษณ์ พี่คนนึงก็ออกมาถาม "น้องไม่มีคะแนนพื้นฐานวิศวะเหรอ" "ไม่มีครับ" "งั้นน้องลงไปถามพี่ที่ชั้นล่างเลยนะ" พอผมลงไปพี่ที่ห้องข้างล่างเขาก็บอก "น้อง เดี๋ยวพี่คืนเงินค่าตรวจสุขภาพให้ แล้วน้องกลับบ้านได้เลยนะ" อึ้งเลย ครูต้อยก็อึ้งสิ ไม่น่าแนะนำให้เสียตังค์ค่ารถไปสัมภาษณ์เลย ในใจก็นึกว่า ม.มหิดลพลาดโอกาสที่จะได้รับศิษย์น่ารักๆของครูต้อยไปสร้างชื่อเสียงให้ซะแล้ว
ระหว่างที่เขียนบันทึกอยู่นี้ก็ได้ข่าวว่า เขาสอบได้วิศวะไฟฟ้าของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือไปแล้ว แต่ครูก็ยังไม่เจอเจ้าตัว เลยยังไม่ได้สอบถามความพึงพอใจกับผลการสอบ และก็ไม่ได้ขออนุญาตเอาเรื่องเขามาเล่าซะด้วย แต่ในฐานะที่ครูได้ยินใครๆก็เล่าเมาท์เรื่องนี้กันสนั่นโรงเรียนอยู่แล้ว ก็ขอเอามาเล่าต่อเป็นบทเรียนสอนน้อง ถือว่าเป็นวิทยาทานก็แล้วกันนะจ๊ะ ใครที่จะสมัครสอบวิชาความถนัดพื้นฐานทั้งหลายแหล่ก็อ่านกฏ กติกา ให้ดีก็แล้วกัน
ปีหน้าสิน่าปวดหัว นักเรียนต้องสอบ GAT สอบ PAT กันให้้วุ่นวายไปหมด จะสอบคณะนี้ต้องสอบ GAT นั้น ไม่ต้องสอบ GAT โน้น เข้าหมอไม่ต้องสอบคณิศาสตร์หรือฟิสิกส์ จะเข้าคณะนี้ ต้องมีผล PAT นั้น จะเข้าคณะนั้นต้องมีผล PAT โน้น ครูแก่ๆแถมโลเทคอย่างครูต้อยปวดหัวมาก ไม่รู้ว่าลุ้นผลสอบปีหน้าจะปวดหัวขนาดไหน ได้แต่เอาใจช่วยลูกศิษย์ทุกคน ขอให้ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตทุกคนนะจ๊ะ
โอ้ย ฟังแล้วมึนค่ะคุณครู คือไม่มีความรู้เรื่องวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมัยนี้เลยว่าเขาทำกันยังไง แค่ ANET ONET ก็มึนตึ๊บ นี่เห็น GAT PAT ยิ่งไม่รู้จักเลยค่ะ T_T เป็นรุ่นโบราณที่สอบเอ็นทรานซ์แบบเลือกอันดับ วัดกันรอบเดียวตอนสอบ
นี่ก็กำลังปวดหัวอยู่ว่าเด็กเล็กมีแบบนี้ด้วยไหม มีหลานคนหนึ่งเรียนอยู่ป.3 เห็นบอกว่าตอนสอบเข้าม.1 ต้องมีอะไรคล้ายๆ แบบนี้ด้วย จะทำยังไงดีคะ มีอะไรที่ผู้ปกครองควรรู้เกี่ยวกับระบบใหม่แบบนี้หรือเปล่าคะ คือกลัวไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้เตรียมตัวกับเขาจะกลายเป็นทำให้เด็กเสียโอกาสไป ถ้าคุณครูพอแนะนำได้ก็ขอความกรุณาช่วยอธิบายสักเล็กน้อยนะคะ คือถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ทำให้สอบไม่ได้จะส่งไปเรียนเมืองนอกให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่ต้องปวดหัวแต่คงคิดถึงอย่างแรงค่ะ
คุณLittle Jazz คงไม่ต้องกังวลอะไร เดี๋ยวก็จะคุ้นเคยไปเอง ตอนนี้ก็จะมีสอบโอเนตทุกช่วงชั้น คือ ป.3 1 ครั้ง ป.6 1 ครั้ง ม.3 1 ครั้ง และ ม.6 1ครั้ง ป.6 ก็คงเอาไว้เทียบตอนเข้า ม.1 และ ม.6 ก็เอาไว้เข้ามหาวิทยาลัย กว่าตัวเล็กจะขึ้นมัธยม ระบบต่างๆก็คงเข้าที่เข้าทางแล้ว ไม่งงเหมือนตอนนี้ มีลูกก็เอาไว้ไกล้ๆตัวเถอะค่ะ คิดถึงเขาน่ะ
ขอบพระคุณคุณครูมากค่ะที่ให้ข้อมูลและปลอบใจ แต่โดยส่วนตัวพอไม่รู้เรื่องระบบการศึกษาสมัยนี้เลยเป็นกังวลพอสมควร อยากจะเรียนถามเพิ่มเติมว่าแล้วผู้ปกครองต้องมีส่วนทำอะไรด้วยมั้ยคะ เกี่ยวกับการสอบโอเน็ต ต้องพาไปสอบหรือว่าเขาจัดสอบกันที่โรงเรียนเองเหมือนสอบปลายภาค การเก็บคะแนนเป็นยังไง วิชาอะไรบ้าง แล้วต้องติวอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ เพราะปกติที่บ้านไม่เน้นติว เน้นให้เด็กเรียนแบบเข้าใจและมีความสุข คือกลัวเด็กเครียดเกินไปค่ะ ไม่อยากให้เด็กต้องเรียนพิเศษเพราะเห็นว่าเด็กไทยทุกวันนี้ก็เรียนเยอะมากเกินแล้วค่ะ
กำลังคิดว่าให้เรียนไปเรื่อยๆ ที่เมืองไทยนี่ล่ะ ถ้าจนถึงมหาวิทยาลัยแล้วมีปัญหามากนักกับระบบการศึกษาที่นี่ก็จะให้ไปต่อที่เมืองนอก แต่ใจจริงอยากให้เรียนจบตรีก่อนแล้วค่อยไป คือห่วงเรื่องความสุขในการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมมากกว่ากลัวเรื่องไม่มีที่เรียนค่ะ อีกอย่างคือกลัวว่าไปแต่เด็กเราจะหงอยก่อนเขาเพราะคิดถึง ^ ^
ขอโทษคุณLittle Jazzค่ะที่ไม่ได้เข้ามาอ่านบล็อกนานแล้วเลยไม่ได้ตอบคุณว่า ไม่ต้องกังวลอะไร การสอบโอเน็ตก็จะจัดสอบที่โรงเรียนอยู่แล้ว ผู้ปกครองไม่ต้องเหนื่อย และดีอยู่แล้วค่ะไม่ต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติมอะไร แค่ทบทวนสิ่งที่เรียนมาก็พอแล้ว ดีจังเลยค่ะที่ผู้ปกครองไม่บังคับเด็กๆให้เรียนพิเศษ เพราะอยากสนับสนุนให้เขาอ่านเองและเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าค่ะ ที่สำคัญก็คือกระตุ้นให้เขารักการอ่านแค่นี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ หวังว่าหลานของคุณคงมีเรื่องดีๆจากโรงเรียนมาเล่าให้ฟังทุกวัน