นานาเรื่องราวการจัดการความรู้ (๑๙)
PATHO-OTOP
1 จิ๊กซอ การจัดการความรู้ ในคณะแพทย์ฯ มอ.
คณะแพทยศาสตร์ กับการจัดการความรู้
นับจากคณะแพทยศาสตร์
ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อปี 2515
คณะแพทยศาสตร์มีประสบการณ์ของการพัฒนาคน พัฒนางาน
และพัฒนาองค์กรมาอย่างต่อเนื่อง โดยมี
“ผู้นำ”เป็นแกนหลักในการนำหลักการและสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมเพื่อการพัฒนาขึ้นอย่างกว้างขวางใน
5 หน่วยงานหลักของคณะแพทยศาสตร์ คือ ฝ่ายการพยาบาล,
ฝ่ายเภสัชกรรม,โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ , แพทยศาสตร์ศึกษา
และงานการเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นการนำหลักการ QC
เข้ามาใช้ในการพัฒนาบุคลากร ซึ่งมีกว่า 3,000 คน
และการผ่านการรับรองการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลจากสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล
(พรพ.)เมื่อปี 2544 เป็นต้น
จากทุนเดิมดังกล่าวทำให้ในช่วงต่อมาถึงปัจจุบัน
คณะแพทยศาสตร์เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่มีเรื่องของการจัดการความรู้มาอย่างต่อเนื่องภายในองค์กรโดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้บุคลากรได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
ถึงขนาดผู้บริหารระดับสูงและระดับกลางสนับสนุนโดยเปิดช่องทาง
“การแบ่งปันความรู้จากงานเพื่อการปฎิบัติที่ดีกว่า” ไว้ใน HomePage
ของคณะ และในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาซึ่งถือเป็น phase
ที่สองของการจัดการความรู้(มิถุนายน 2547-2549)
ก็ได้นำไปบูรณาการอยู่ในการดำเนินงานของคณะแพทยศาสตร์อย่างเป็นทางการ
โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า
“คณะกรรมการพัฒนาระบบบริหารความรู้” โดยมีคณบดีเป็นประธาน
คณะกรรมการชุดนี้มีการประชุมกันเป็นประจำทุกเดือน และสรุปว่าจะใช้
“DISCO” model เป็นแนวทางในการจัดการความรู้ คือ มี day of
sharing knowledge (จัดให้มีกิจกรรม
“วันแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟัง” ปีละ 3 ครั้ง
และมีการสื่อสารผ่านทาง KM News ทุก ๆ 3 เดือน), individual
learning of knowledge (จัดให้มี e-learning
ที่บุคลากรของคณะสามารถเข้ามาเรียนรู้ด้วยตนเองได้ในเรื่องที่คณะกำหนดไว้),
switching tacit to explicit knowledge
(จัดให้มีการเปลี่ยนความรู้ฝังลึกในบุคลากรออกมาเป็นความรู้แจ้งชัด
โดยผ่านกลไกของชุมชนนักปฏิบัติหรือ Community of Practice ซึ่งใน 2
ปีนี้ คณะกำหนดไว้ว่าจะให้มี CoP ขึ้น 5 กลุ่ม), continuity
management of knowledge
(เป็นกิจกรรมที่สืบต่อมาจากโครงการขอความรู้จากผู้ลาจากฝากไว้ให้คณะ
แต่จะดำเนินการเป็นระยะ ๆ
โดยไม่ต้องรอให้บุคลากรคนนั้นเกษียณหรือลาออก) และ organise knowledge
(เป็นการจัดความรู้ขององค์กรให้เป็นระบบและเป็นหมวดหมู่
ง่ายต่อการสืบค้น
รวมทั้งการจัดทำฐานข้อมูลความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะด้านของบุคลากรในคณะ)
ศ.นพ.พิเชษฐ์
อุดมรัตน์ ที่ปรึกษาคณบดีคณะแพทยศาสตร์ ทางด้านการจัดการความรู้
และรองประธานคณะกรรมการ KM ของคณะ กล่าวว่า
ในคณะแพทยศาสตร์มีการทำกิจกรรมการจัดการจัดการความรู้อยู่มากมายกระจายอยู่ในหน่วยงานต่าง
ๆ ของคณะซึ่งมีระดับของการปฎิบัติที่แตกต่างกันไป
กิจกรรมหนึ่งที่ทำเรียกว่า K-VISIT
คือการออกไปเยี่ยมเยียนตามหน่วยงานและภาควิชาต่าง ๆ ในคณะ
ที่ทำการจัดการความรู้ และก็พบว่า
ภาควิชาที่ทำเดินเรื่องการจัดการความรู้ไปเร็วที่สุดแม้จะเพิ่งเริ่มทำก็คือ
ภาควิชาพยาธิวิทยา ซึ่งมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญคือ ผู้นำ
กับภาวะผู้นำและความเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ที่ว่าทุกคนมีศักยภาพ
หากทำให้เขาได้แสดงศักยภาพตัวเองออกมา
เห็นคุณค่าและเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
และการใช้กุศโลบายที่ไม่บอกว่าเป็นการนำหลักการจัดการความรู้มาใช้
แต่เป็นการพัฒนาการปฎิบัติงานเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
การจัดการความรู้ในภาควิชาพยาธิวิทยา
ภาควิชาพยาธิวิทยา
ถือเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ ในคณะแพทยศาสตร์
ที่มีหน้าที่หลักสำคัญประการหนึ่งคือ งานด้านบริการ
ซึ่งภาควิชามีเป้าหมายระยะยาวอยูที่การให้บริการที่มีคุณภาพมีประสิทธิภาพและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายระยะสั้นภายในปี 2550 จะนำห้องปฎิบัติการผ่าน
ISO15189 ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลที่มีเกณฑ์ค่อนข้างสูงให้ได้
จำเป็นต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของบุคลากรในการปฎิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
การพัฒนาคนจึงเป็นหัวใจสำคัญ
ประกอบกับในภาควิชาก็มีอีกเป้าหมายที่วางไว้คืออยากให้คนในภาคมีการทำโครงการพัฒนางาน
และส่งเข้าร่วมเสนอผลงานใน KM
ของคณะแพทย์ที่จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีการเล่าความสำเร็จ
และการประกวดโครงการพัฒนางานของบุคลากรซึ่งทำต่อเนื่องมาหลายปี
แต่ในภาควิชาไม่ค่อยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมเหล่านั้น
ทั้งที่ในภาควิชามีบุคลากรเกือบ 200 คน
ในฐานะหัวหน้าภาควิชา รศ.พญ.ปารมี ทองสุกใส
คิดว่าสองเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะเมื่อบุคลากรได้พัฒนางานที่ตนเองรับผิดชอบก็คืองานบริการ
ก็น่าจะส่งผลต่อเป้าหมายใหญ่ในการเข้ารับการประเมินและผ่านการประเมินคุณภาพ
ISO ได้ จึงนำทั้ง 2
เรื่องมาโยงกันเป็นเรื่องหลักที่ภาควิชาจะทำ
และจากการได้รับฟังการบรรยายและศึกษาจากเอกสารเรื่องการจัดการความรู้หลายครั้ง
และเกิด “ปิ๊งแว้บ” จากการบรรยายของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ผอ.สคส.
ที่ว่า การทำจัดการความรู้ไม่ต้องยึดติดกับแนวทาง
วิธีการใดก็ได้ถ้ามีเป้าหมายเพื่อการพัฒนางานและผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการทำงานให้ถือว่าเป็น
KM ทั้งนั้น จึงนำหลักการสำคัญของ KM นั่นคือต้องมีหัวปลา
(การสร้างเป้าหมายร่วม) ใช้คนหลากหลายทักษะ หลากหลายวิธีคิด
ให้ใช้ความรู้ทั้งภายในภายนอก และเน้นการเรียนรู้ทดลองรูปแบบใหม่
(ทำไปเรียนรู้ไป)
จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะนำมาใช้กับภาควิชาซึ่งมีคนหลากหลายระดับทั้งอายุ
การศึกษา และทักษะ
ให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนางานได้มากขึ้น
จึงเขียนโครงการพัฒนางานขึ้นชื่อ โครงการพยาธิ 1 ทีม 1โครงการ หรือ
PATHO-OTOP ( Pathology-One Team One Project) พยาธิ 1 ทีม 1
โครงการ
การบูรณาการการจัดการความรู้กับงานประจำ
patho-otop
จึงเป็นโครงการพัฒนางานที่นำกระบวนการจัดการความรู้เข้ามาประยุกต์ใช้
กับคนกลุ่มใหญ่ของภาควิชาคือระดับปฎับัติหรือคนหน้างาน
เพราะจากโครงสร้างของภาควิชาซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าภาควิชา 1 คน
หัวหน้าหน่วย 14 คน หัวหน้างาน 11 คน ระดับปฏิบัติงานมีถึง 168 คน
ประจำอยู่ตามห้องปฏิบัติการย่อยๆ ที่มาอยู่มากมายในภาควิชา เช่น LAB
เลือด, LAB ชิ้นเนื้อ ฯลฯ ซึ่งแต่ละLAB ก็มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป
และเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทั้งระดับการศึกษาและทักษะ
(มีตั้งแต่คนจบ ม.ปลาย-ป.โท)
ซึ่งการพัฒนางานที่ผ่านมารวมทั้งในการทำการจัดการความรู้ของคณะ
มักส่งมาที่ระดับหัวหน้าหน่วยงานหรือหัวหน้างานเป็นหัวหน้าโครงการ
บุคลากรระดับหัวหน้าจึงมีโอกาสได้รับการพัฒนามากกว่า
ขณะที่บุคลากรกลุ่มใหญ่คือระดับปฎิบัติการมีโอกาสเข้าถึงหรือมีส่วนร่วมน้อย
การปรัปบรุงงานจึงมักเป็นไปตามการมอบหมายของหัวหน้างาน หรือ
บุคคลปรับปรุงงานในความรับผิดชอบด้วยตนเอง หรือ กลุ่มย่อยๆ
ในหน่วยงานปรับปรุงงานเป็นจุดๆ
ความรู้ของเขาจึงไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์หรือได้รับการส่งเสริมให้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่
จึงเป็นการดำเนินงานที่ไม่เป็นเอกภาพทำให้ขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายได้ช้า
KM ย้อนศร
พยาธิ 1 ทีม 1
โครงการ
จึงเป็นการนำการจัดการความรู้มาบูรณาการเข้ากับระบบงานที่ทำอยู่คือกระบวนการ
CQI (ทบทวนตนเองเพื่อค้นหา/ระบุปัญหา/ความเสี่ยง
กำหนดแนวทางแก้ไข ปรับปรุงแนวคิดนำไปปฏิบัติ ประเมินผล
และปรับปรุงงาน) และออกแบบโครงการให้ทุกหน่วยย่อย ๆ
ในภาควิชาได้ปฎิบัติร่วมกัน
โดยเริ่มที่การทบทวนซึ่งทำกันเป็นทีมก็จะทำให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างทีม
และพอทำร่วมกันทำพร้อมกันหลาย ๆ
ทีมก็ให้แต่ละทีมมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
โครงการนี้จึงเกิดขึ้นโดยเน้นการทำงานเป็นทีมของผู้ปฎิบัติงาน(คนหน้างาน)
หัวหน้างานถอยมาเป็นพี่เลี้ยง แล้วให้มี peer assit
ก็คือให้ผู้รู้ผู้มีประสบการณ์ในหน่วยงานอื่นมาเป็นที่ปรึกษา
มีการจัดเวทีให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
พร้อมจัดรางวัลเสริมแรงจูงใจให้เข้าร่วมกิจกรรม
ซึ่งเมื่อเปิดรับสมัครทีมพัฒนาร่วมโครงการ
โดยกำหนดให้สมัครเป็นทีม(ทีมละ 3-5 คน) ในที่สุดก็มีผู้สมัครเข้ามารวม
22 ทีมจากหน่วยงานย่อย ๆ ของภาค
และเริ่มเวทีแรกด้วยการจัดอบรมเชิงปฎับัติการที่แปลกไปกว่าเดิมด้วยการให้มีช่วงของการแนะนำโครงการเพียงสั้น
ๆ จากนั้น
ให้แต่ละทีมเข้ากลุ่มและระดมความคิดเห็นกันว่างานที่ทำอยู่นั้นมีปัญหาอุปสรรคอะไรและเขาอยากจะแก้ปัญหานั้นเสร็จแล้วจึงให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอ
ซึ่งเพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ก็ได้รับฟังด้วย
และเกิดการเรียนรู้ซึ่งกัน
สิ่งที่ผิดคาดคือจากเดิมที่ตั้งใจจะเลือกบางกลุ่มมานำเสนอแต่การนำเสนอที่มีการแลกเปลี่ยนกันเช่นนี้ทำให้กลุ่มอื่น
ๆ รู้สึกอยากที่จะนำเสนอให้เพื่อนกลุ่มอื่นได้ฟังด้วย
จึงต้องใช้การนำเสนอถึง 3 ครั้งจึงจะครบทั้ง 22 ทีม
เสร็จแล้วก็มีการเรียกร้องอยากให้แต่ละทีมที่ได้นำเสนอและนำไปปฎิบัติในการพัฒนางานนั้นเป็นอย่างไร
ก็ควรมานำเสนอกัน แต่การจะนัดหมายให้มาบ่อย ๆ
เกรงจะเบื่อที่ต้องเสนอหลายครั้ง หัวหน้าภาคจึงนำการใช้
Blog มาแนะนำให้ใช้เป็นเวทีเสมือนให้แต่ละทีมได้เล่าความคืบหน้า
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันผ่าน Blog
ขณะที่การนำเสนอผลอย่างเป็นทางการก็ยังมีอยู่เป็นระยะ
รวมทั้งการไปเรียนรู้นอกสถานที่
รศ.พญ.ปารมี
กล่าวว่า การทำ KM
ของภาควิชาพยาธิวิทยาเป็นการทำย้อนกับแนวทางที่
สคส.ทำซึ่งมักเริ่มจากการเล่าเรื่องความสำเร็จ
แต่ของพยาธิทำไปก่อนเสร็จแล้วเมื่อเขามีความรู้เกิดขึ้น
ก็จะมาจัดการเรียนรู้ความสำเร็จในตอนท้าย
โดยจะเลือกกลุ่มที่ได้รับรางวัลนำเสนอผลงานซึ่งทำได้ดีมาเล่าเรื่องในรายละเอียดรวมทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่าง
ๆ
และจัดกลุ่มเสวนาให้เขาสกัดความรู้ว่าทำไมบางกลุ่มเขาจึงทำได้ดีประสบผลสำเร็จ
จากนั้นกลุ่มของเขาก็จะต้องไปวางแผนต่อโดยเอาความรู้ต่าง ๆ
ที่เขาได้รวมทั้งความรู้ประเด็นความสำเร็จของกลุ่มอื่นที่ทำได้ดีไปประยุกต์ใช้กับของตนเอง
และวางแผนการนำเสนอผลการดำเนินงานในรอบหน้าต่อไป
“Patho-Otop” ยิงปืนนัดเดียว
ได้นกหลายตัว
จากเวทีแรกที่เบื้องต้นมีบุคลากรสมัครรวม 22 ทีม รวม 60 คน
แล้วก็มีพี่เลี้ยงประมาณ 10 คน
และมานำเสนอโครงการพัฒนางาน
ทำให้เขาเกิดความรู้จากการทบทวนว่าเขารู้และไม่รู้อะไรและสิ่งที่เขาต้องการรู้ในอนาคตคืออะไร
และเขาจะหาวิธีให้รู้สิ่งที่เขาอยากรู้ได้อย่างไร
และความสำเร็จเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นจากเวทีแรกคือเกิดการทำงานเป็นทีม
เพราะเดิมเขาจะทำงานประจำในหน้างานที่ตนเองรับผิดชอบ
ผลของการทำงานเป็นทีมทำให้ทุกกระบวนการพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน
เพราะการปฎิบัติงานทางห้อง LAB
มีกระบวนการมากกว่าขึ้นตอนแค่ในห้อง LAB
เพราะเมื่อพยาบาลรับคำสั่งไปเจาะเลือดผู้ป่วย ส่งมาให้ห้อง LAB
ซึ่งมีห้องที่รับในด้านหน้าก็จะส่งเข้ามาที่ห้อง LAB อีกที ห้อง LAB
ทำการวิเคราะห์ จากนั้นลงผล ส่งผลไปที่หอผู้ป่วย
ไปสู่แพทย์อีกที
และจากการทำโครงการที่เปิดรับทีมพัฒนาซึ่งมาจากทุกหน่วยย่อย ๆ
ของภาควิชา โครงการนี้ก็จะเกิดขึ้นในทุกจุด
ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ห้อง LAB
ก่อนที่ตัวอย่างสิ่งส่งตรวจจะเข้าสู่ห้อง LAB ก็คือด่านหน้าของภาควิชา
ก็คือหน่วยรับสิ่งส่งตรวจ ซึ่งเขาก็จะสัมผัสกับทางฝ่ายการพยาบาล
เพราะฉะนั้นการพัฒนาตรงนี้ก็จะเกิดทุกจุด
และในอนาคตเราก็จะชักชวนพยาบาลมาร่วมกับเราเพรามีส่วนที่คาบเกี่ยวกัน
ไม่มีความเห็น