คราวที่แล้ว
ได้เล่าคอนเซปต์เรื่อง “วัฒนธรรมความปลอดภัย
(ของผู้ป่วย)”
ไปแล้ว คราวนี้จะเล่าต่อนะคะว่า
เราจะลงมือทำกันอย่างไร
หลังจากที่เราทำ SWOT
analysis
ของงานโดยเน้นหาความผิดพลาดที่มีโอกาสเกิดขึ้นในงาน
อันจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับผู้ป่วยแล้ว
สมาชิกในงานนั้นๆ
ต้องช่วยกันระดมความคิดต่อว่า
* เราจะใช้อะไรเป็น “ตัวตรวจจับความผิดพลาด”
*
เราจะใช้อะไรเป็น “ตัวลดความผิดพลาด” อย่างเช่น
การใช้บาร์โคดเพื่อลด human error
ในการลงข้อมูลโดยคน
* จัดให้มีระบบการตรวจซ้ำรอบสอง (double check) ในงานที่คิดว่า
ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นใน “ผลงาน”
แล้วจะมีผลกระทบที่ร้ายแรงต่อผู้ป่วย
* ทำงานให้ง่าย
ลดความซ้ำซ้อน เพราะงานใดที่มีขั้นตอนเยอะ หรือสลับซับซ้อนมาก
โอกาสที่จะเกิดความผิดพลาด และผู้ป่วยไม่ปลอดภัยก็จะสูง
* ลดการใช้
“แรงงานมนุษย์”
ในงานที่คิดว่าสามารถใช้ “เครื่องทุ่นแรง” อย่างอื่นแทนได้ เพราะ
“การทำผิดเป็นธรรมชาติของมนุษย์”
(แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า
ทั้งๆที่ “การทำผิดเป็นธรรมชาติของมนุษย์” แต่เวลาที่คนทำผิด เรามักจะยอมรับไม่ได้ แต่พอ
“เครื่อง” ผิด
เรามักจะยอมรับได้ แถมบางทียังโทษอีกว่าที่เครื่องผิดนั่นแหละ
เป็นความผิดของคนเสียอีก)
* ใช้
“เครื่องช่วยจำ” ทั้งหลาย เพื่อให้สมาชิก
“รับรู้”
และ “ระลึก”
ถึงขั้นตอนการทำงานของตนเองอยู่เสมอ
* วางระบบ quality
assurance
หลังจากที่สมาชิกทุกคนได้ร่วมกันคิดวางแนวทางต่างๆ
แล้ว สิ่งที่ทุกคนพึงปฏิบัติหลังจากนั้นคือ
* ยึดมั่นในแนวทางที่ตนเองและเพื่อนร่วมงานได้วางเอาไว้
เพราะนั่นหมายถึง แนวทางที่สมาชิกทุกคนคิดว่า
“จะสร้างความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ป่วย” ที่ใช้คำว่า “จะ”
แสดงว่าแนวทางนั้นมีโอกาสจะถูกเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อพบว่า
ยังก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ป่วย
* รู้จักการปฏิเสธ
และหยุดการทำงาน เมื่อพบความผิดปกติ
อย่าดันทุรังทำต่อ เพราะนั่นแปลว่า
ท่านกำลัง “แหก” กฏ
หรือวัฒนธรรมความปลอดภัยที่ท่านและเพื่อนร่วมงานได้สร้างขึ้นมา
อย่างไรก็ดี
แม้ว่า เราสามารถสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ขึ้นได้ในหน่วยงาน
แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่า ผู้ป่วยจะ “ปลอดภัย” จริงๆ
จากการรับบริการในภาพรวมจากโรงพยาบาล อาทิเช่น
เราสร้างแนวทางปฏิบัติงานในการรับสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยยึดหลัก
“วัฒนธรรมความปลอดภัย” แต่หน่วยงานอย่างเช่น
ห้องตรวจผู้ป่วยนอก (โอพีดี)
สลับสิ่งส่งตรวจจากผู้ป่วยก่อนส่งให้แก่เรา
ผู้ป่วยก็ไม่มีทางที่จะปลอดภัยจริงๆ ได้ เปรียบเหมือนกับ
“โซ่” เส้นหนึ่งที่ประกอบไปด้วย
“ห่วงโซ่” ที่ร้อยต่อๆ กันไป ถ้ามี
“ห่วงโซ่” ชิ้นหนึ่งไม่แข็งแรง
(ในที่นี้คือ บกพร่องในเรื่องวัฒนธรรมความปลอดภัย) ต่อให้
“ห่วงโซ่” ชิ้นอื่นมีความแข็งแรง
(ในที่นี้คือ
มีแนวปฏิบัติโดยยึดเรื่องวัฒนธรรมความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ)
โซ่เส้นนั้นก็มีโอกาสที่จะขาดไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ผู้ป่วยของเราก็คงไม่ปลอดภัยอย่างที่เราอยากให้เป็น
ไม่มีความเห็น