ยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านวัฒนธรรมของเกาหลีใต้
บาว นาคร*
ในยุคปัจจุบัน รัฐบาลเกาหลีใต้ย้ำให้เกาหลีใต้เป็นสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มีการสร้างระบบราชการที่ให้ทุกคนต้องมีวินัย และความเสียสละ เพื่อความสำเร็จของงานที่ได้รับมอบหมายประดุจดั่งระบบของทหาร ผลแห่งการใช้อำนาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ ดังนี้
1. การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่หนึ่ง ได้เขียนขึ้นอย่างรีบเร่งภายในเวลาเพียง 6 เดือน ซึ่งทำให้หน่วยงานของรัฐทุกกระทรวงจ่างหันหน้าเข้าหากันเพื่อจัดทำแผน ในแผนแม่บทรวมนั้นเป็นผลจากการเสนอโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและโครงการก่อสร้างปัจจัยพื้นฐานโดยกรมวางแผนทำการคัดเลือกลำดับความสำคัญเพื่อเสนอต่อกรมงบประมาณในการอนุมัติเงินงบประมาณให้ดำเนินการทันที
2. คณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ องค์กรเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจมี 2 ลักษณะ คือ สภาคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ซึ่งเป็นแบบทางการ) และการประชุมคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ซึ่งเป็นการประชุมปรึกษาหารือไม่เป็นทางการ) สภาคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ มีหน้าที่ตระเตรียมงานและโครงการก่อนจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
3. สรุปผลเศรษฐกิจรายเดือน กระทรวงวางแผนจะทำการสรุปผลภาวะเศรษฐกิจให้แก่ประธานาธิบดีในหัวข้อเรื่องดังนี้ จำนวนผลผลิตทางด้านอุตสาหกรรม ราคาสินค้า ดุลการชำระเงิน สถานการณ์ทางด้านการเงินและการคลังของประเทศ และเน้นพยากรณ์แง่แนวโน้มของภาวะเศรษฐกิจระยะสั้น การสรุปผลนี้กระทำขึ้นที่สำนักงานของกระทรวงวางแผน โดยมีประธานาธิบดี รัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ สมาชิกรัฐสภาจากพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง
4. กระทรวงมหาดไทย ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเทศมนตรี ทำให้อำนาจของผู้นำประเทศมีอยู่เหนือผู้ปกครองส่วนท้องถิ่น และสามารถสั่งการให้พวกเข้าปฏิบัติภารกิจสนองตอบต่อนโยบายของรัฐบาลกลางโดยทันที อย่างไรก็ตาม มีโครงการหลายโครงการที่อาจจัดทำขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องผ่านกระทรวงมหาดไทย เพราะมีการสั่งการโดยตรงจากรัฐบาลกลางไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายกเทศมนตรีเลย ทั้งนี้ ก็เพื่อลดขั้นตอนการส่งผ่านเรื่องรีบด่วนไปตามสายงานนั่นเอง
5. องค์กรใกล้ชิดกับประธานาธิบดี ประธานาธิบดี ปัก จุงฮี และประธานาธิบดี ชุน ดฮวาน ให้ความสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักในการบริหารประเทศ ผู้นำประเทศจึงมีส่วนสำคัญทุกขั้นตอนของกระบวนการพัฒนา กล่าวคือ ขั้นการสร้างนโยบาย ขั้นการดำเนินงาน และขั้นการประเมินผล ดังนั้น เพื่อให้ประธานาธิบดีสามารถติดตามความก้าวหน้าอย่างใกล้ชิด จึงได้มีการตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้น 2 หน่วย คือ คณะที่ปรึกษา และสำนักงานเลขาธิการประธานาธิบดี เพื่อให้ทำหน้าที่ในการควบคุมดูแลและสนับสุนนแนวคิดของผู้นำประเทศทุกกรณี
6. การรายงานประจำปี เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเพื่อเสนอต่อประธานาธิบดี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดผลต่อคณะทำงาน (คนและกลุ่มคนที่ทำงานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน) ในแง่การสร้างสรรค์และพยายามที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเป้าหมายการพัฒนาของชาติ ในเดือนธันวาคมของทุกปี สำนักเลขาธิการประธานาธิบดีจะแจ้งให้แต่ละองค์การหลักว่า การรายงานนั้นควรจะครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง และควรใช้เวลาในการเสนอรายงานนานเท่าใด (โดยปกติแล้วจะใช้เวลาหน่วยงานละ 1 ชั่วโมง)
7. สถาบันวิจัยของรัฐ การมองเห็นการณ์ไกลของผู้นำรัฐบาลของเกาหลีใต้ มิได้จำกัดอยู่กับภาพวาดในอุดมคติหรือความเชื่อตามสามัญสำนึกเท่านั้น แต่เป็นการมองภาพสังคมสาธารณรัฐเกาหลีผ่านทางกฎเกณฑ์ที่เป็นเหตุเป็นผลและข้อมูลที่หามาได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้น สถาบันวิจัยของรัฐจึงได้รับการจัดตั้งขึ้น เพื่อศึกษาค้นคว้าและใช้ในการสร้างแผนพัฒนาฉบับที่สอง อนึ่ง สถาบันวิจัยเป็นที่รวมของนักวิชาการชั้นนำของประเทศ และเชื้อเชิญขาวเกาหลีที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานนอกประเทศให้กลับมาทำงานให้กับประเทศชาติทั้งเป็นการชั่วคราวและถาวร รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณเพื่อการวิจัยอย่างเพียงพอ รวมทั้งตั้งเงินเดือนสูงกว่าเงินเดือนของข้าราชการทั่วไปเพื่อดึงดูดคนที่มีความรู้เข้ามาทุ่มเทกับการทำงานวิจัย
รัฐบาลเกาหลีใต้ เล็งเห็นความจำเป็นที่จะส่งเสริมการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปสู่คนทั่วโลก เพื่อหวังผลที่จะให้ผู้คนรู้จักประเทศเกาหลี อันจักก่อให้เกิดประโยชน์คือ (1) การซื้อสินค้าเกาหลีที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศ และ (2) ชักชวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังเกาหลีจำนวนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลียังประสงค์ที่จะให้เกาหลีเป็นข่าวในสื่อมวลชนทั่วโลกอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงส่งเสริมให้บรรจุเนื้อหาสาระเกี่ยวกับประเทศเกาหลีในหลักสูตรขั้นประถมศึกษาจนถึงขั้นอุดมศึกษาของประเทศต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสังคมเกาหลีให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอีกทางหนึ่ง ท่ามกลางสภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจในตอนปลายทศวรรษที่ 1990 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้เร่งส่งเสริมให้ขยายอุตสาหกรรมทางวัฒนธรรม (Cultural industry) ให้มีความแข็งแกร่ง
ส่วนทางตอนใต้ของกรุงโซลนั้น มีการขยายศูนย์ศิลปะแห่งกรุงโซล (Seoul Arts Center) และศูนย์ศิลปะการแสดงพื้นเมืองแห่งชาติ (National Center for Korean Traditional Performing Arts) อีกทั้งมีแผนในการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมเพื่อให้ผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของกรุงโซลสามารถเดินทางไปยังศูนย์ต่างๆ ได้อย่างสะดวก อนึ่ง รัฐบาลปรับปรุงศูนย์วัฒนธรรมกษัตริย์เซจอง (Sejong Cultural Center) และโรงละครแห่งชาติ (National Theater of Korea) ที่ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงโซลให้ทันสมัยขึ้นอีกด้วย
รัฐบาลส่งเสริมปรับปรุงและขยายศูนย์วัฒนธรรมที่ตั้งอยู่นอกกรุงโซลจำนวน 30 แห่งทั่วประเทศ เพื่อให้เกาหลีเป็น “เมืองวัฒนธรรม” (Cultural District) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกไกล กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวทุ่มเงินกว่า 50 พันล้านวอน (30 วอน เท่ากับหนึ่งบาท) เพื่อทำภาพยนตร์สารคดี ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ สิ่งตีพิมพ์ ดนตรีและข้อมูลที่เกี่ยวกับเกาหลีเพื่อส่งไปเผยแพร่ยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก อนึ่ง กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว ได้จัดให้ ค.ศ. 2001 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเกาหลี (Visit Korea Year 2001) โดยมีการจัดงานทั่วประเทศ เช่น เทศกาลเล่นสกีและหิมะ เทศกาลทางทะเลที่เกาะเชจู เทศกาลการซื้อของและแฟชั่นนานาชาติ เทศกาลกีฬาเทควันโด เทศกาลโสม เทศกาลดนตรี เทศกาลอาหาร และเทศกาลระบำหน้ากากแห่งเมืองอันดงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีรัฐบาลพยายามส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านการชักชวนคนต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในเกาหลีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะช่วยให้ประเทศมีอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้ง อีกทั้งเป็นการเผยแพร่สินค้าของเกาหลีสู่ตลาดโลกด้วย ตลอดจนภาพยนตร์หรือละครทางประเทศเกาหลีใต้ได้รับความนิยมและได้รับการตอบรับในประเทศไทยและต่างประเทศเป็นอย่างดี
เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีขนาดเล็ก มีจำนวนประชากรมาก แต่ไร้ทรัพยากรธรรมชาติ และมีภูมิอากาศที่ไม่ค่อยเป็นมิตร ดังนั้น การพัฒนาประเทศจึงยึดนโยบายการทำให้ประเทศเป็นสังคมอุตสาหกรรม เพื่อผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงส่งออกไปขายยังตลาดต่างประเทศนโยบายนี้เรียกว่า “นโยบายการมองออกไปสู่ภายนอก” (Outward-Looking policy) ที่ได้สร้างขึ้นสมัยนายปัก จุงฮี เป็นผู้นำประเทศใน ค.ศ. 1962 โดยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่หนึ่ง และได้ยึดถือเป็นแนวทางกระพัฒนาประเทศมาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ จากนโยบายนี้เอง ที่ยังผลให้เมืองโสมขาวก้าวขึ้นจากการเป็นสังคมที่ยากจนข้นแค้น มาเป็นสังคมที่เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และมั่นคงทางเศรษฐกิจที่เน้นอุตสาหกรรมเป็นหลัก จนเป็นที่กล่าวขวัญว่า เป็นประเทศที่สามารถพัฒนาได้รวดเร็วและได้รับความสำเร็จสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย
เอกสารอ้างอิง
ดำรง ฐานดี และยุทธพร อิสรชัย.กระบวนการพัฒนาและทางเลือกสาธารณะ หน่วยที่ 9.กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2549.
ไม่มีความเห็น