ทฤษฏีการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ( Process Skills )
1. รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสวบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม(Group Investigation Instructional Model)
ทฤษฏี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
จอยส์ และวีล (1996,หน้า 80-88) แนวคิดเกี่ยวกับการสืบเสาะแสวงหาความรู้ และความคิดเกี่ยวกับความรู้ เธเลน อธิบายว่า สิ่งสำคัญที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกหรือความต้องการที่จะสืบค้นหรือเสาะแสวงหาความรู้ก็คือตัวปัญหา ปัญหามีลักษณะทำให้เกิดความงุนงงสงสัยหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิด จะยิ่งทำให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเสาะแสวงหาความรู้หรือคำตอบมากยิ่งขึ้น
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุงพัฒนาทักษะในการสืบสวบเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ โดยอาศัยกลุ่มซึ่งเป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้ และช่วยดำเนินงานการแสวงหาความรู้หรือคำตอบที่ต้องการ
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหาหรือสถานการณ์ที่ชวนให้งุนงงสงสัย
ปัญหาหรือสถานการณ์ที่ใช้ในการกระตุ้นความสนใจและความต้องการในการสืบสอบและแสวงหาความรู้ต่อไปนี้ควรเป็นปัญหาหรือสถานการณ์ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถความสนใจของผู้เรียนและจะต้องมีลักษณะที่ชวนให้งุนงงสงสัยเพื่อท้าทายความคิดและความใฝ่รู้ของผู้เรียน
ขั้นที่ 2 ให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นต่อปัญหาหรือสถานการณ์นั้น
ผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง และพยายามกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้ง หรือเกิดความแตกต่างทางความคิด เพื่อท้าทายให้ผู้เรียนพยายามหาทางเสาะแสวงหาข้อมูลหรือวิธีการพิสูจน์ทดสอบความคิดของตน เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดเกิดขึ้น
ขั้นที่ 3 ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนในการแสวงหาความรู้
เมื่อกลุ่มมีความคิดเห็นแตกต่างกันแล้ว สมาชิกแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนว่า จะแสวงข้อมูลอะไร กลุ่มจะพิสูจน์อะไร จะตั้งสมมติฐานอะไร กลุ่มจำเป็นต้องมีข้อมูลอะไรและจะไปแสวงหาที่ไหน หรือจะได้ข้อมูลนั้นมาได้อย่างไร จะต้องใช้เครื่องมืออะไร เมื่อได้ข้อมูลมาแล้ว จะวิเคราะห์อย่างไร และจะสรุปผลอย่างไร ใครจะช่วยทำอะไร จะใช้เวลาเท่าใด ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการกลุ่ม
ขั้นที่ 4 ให้ผู้เรียนดำเนินการแสวงหาความรู้
ผู้เรียนดำเนินการเสาะแสวงหาความรู้ตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ ผู้สอนช่วยอำนวยความสะดวก ให้คำแนะนำ และติดตามการทำงานของผู้เรียน
ขั้นที่ 5 ให้ผู้เรียนวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผลข้อมูล นำเสนอและอภิปรายผล
เมื่อกลุ่มรวบรวมได้มาแล้ว กลุ่มทำการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ผู้สอนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ต่อจากนั้นนำเสนอผล อภิปรายผลร่วมกันและประเมินผล
ขั้นที่ 6 ให้ผู้เรียนกำหนดประเด็นปัญหาที่ต้องการสืบเสาะหาคำตอบต่อไป
การสืบเสาะแสวงหาความรู้ของกลุ่มตามขั้นตอนข้างต้นช่วยให้กลุ่มได้รับความรู้ ความเข้าใจ และคำตอบในเรื่องที่ศึกษา อาจพบประเด็นที่เป็นปัญหาที่ชวนให้งุนงงสงสัยหรืออยากรู้ต่อ
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนสามารถสืบสวบและเสาะแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง เกิดความใฝ่รู้และมีความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น และพัฒนาทักษะการสืบสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการทำงานกลุ่ม
การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นกิจกรรมการเรียนการสอน ที่ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าตามความสนใจและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งตรงกับปรัชญา ทฤษฎี แนวคิดของนักการศึกษาที่สำคัญในซีกโลกตะวันตกและเผยแพร่ไปยังประเทศอื่นๆรวมทั้งประเทศไทยด้วยมีความสำคัญดังนี้
ปรัชญาสารัตถะนิยมเชื่อว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้และความจริงทางธรรมชาติเกี่ยวกับการดำรงชีวิตมนุษย์ ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาจึงควรประกอบด้วยความรู้ ความจริง และการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับกฏเกณฑ์และปรากฏการณ์ทางธรณีต่างๆ การจัดกการเรียนการสอนตามความเชื่อนี้จึงเน้นการให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง และการสรุปกฏเกณฑ์จากข้อมูลข้อเท็จจริงเหล่านั้น (วิชัย ประสิทธิ์วุฒิเวชช์, 2542 หน้า 57 )
ปรัชญาปฏิบัตินิยมให้ความสนใจอย่างมากต่อการปฏิบัติหรือลงมือกระทำ ซึ่งนักปราชญากลุ่มนี้เห็นว่าการนำความคิดให้ไปสู่การกระทำ โดยเชื่อว่าลำพังแต่พียงความคิดไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานการคิดที่ดีและการกระทำที่เหมาะสม หลักสูตรการศึกษาตามปรัชญานี้เน้นการปลูกฝังการฝึกฝนอบรมให้ผุ้เรียนได้รับประสบการณ์(Experience)และเรียนรู้จากการคิด การลงมือทำ และการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง (Stumpf 1994,หน้า 383-400 and Devey 1963,หน้า 25-50 ,อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี 2545, หน้า 27 )
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development) เพียเจต์ ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ได้อธิบายว่าการเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญาซึ่งจะพัฒนาการไปตามวัยต่างๆเป็นไปตามลำดับ พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2540, หน้า 126)
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ นักจิตวิทยาที่สนใจในเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกสิ่งที่รับรู้ สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตนเอง (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2540, หน้า 126)
แนวคิดของวิก๊อทสกี้ (Vygotsky) นักจิตวิทยาที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรม ได้อธิบายว่ามนุษย์ๆได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแล้วก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคม ซึ่งก็คือวัฒนธรรมแต่ละสังคมสร้างขึ้น ดังนั้นสถาบันสังคมต่างๆเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวจะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาว์ปัญญาของแต่ละบุคคล นอกจากภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดและพัฒนาเชาว์ชั้นสูง พัฒนาการทางภาษาและความคิดของเด็กเริ่มด้วยการพัฒนาที่แยกออกจากกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้นพัฒนาการทั้ง 2 ด้านจะเป็นไปด้วยกัน (สุรางค์ โค้วตระกูล 2541, หน้า 205 )
สรุปได้ว่าปรัชญาแนวคิดที่มีแนวทางคล้ายคลึงกัน คือ การเรียนรู้จากการคิด การลงมือปฏิบัติ นักเรียนได้แสวงหาความรู้หาคำตอบด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีโครงงาน
เว็บไซต์ที่ 1 ทษฏีที่เกี่ยวข้อง http://www.kroobannok.com/show_all_article.php?cat_id=23
วัฎจักรการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย (Internet research cycle)
แบบจําลองการวิจัยทางอินเทอร์เนต (An Internet Research Model) พัฒนามาจากโครงการใช้สื่อการเรียนทางอินเทอร์เน็ตที่มุ่งเน้นให้นักเรียนมีทักษะการวิจัยโดยใช้การสื่อสาร แม้อินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่ง ข้อมูลขนาดใหญ่ก็ตาม ท่ามกลางกระแสของข่าวสารข้อมูลที่มีอยู่อย่างท่วมท้นนี้ยังไม่สามารถค้นพบถึงแหล่ง ที่บรรจุข้อมูลซึ่งทันสมัย และตรงกับความต้องการเพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง (Barron and Ivers.1996:53) อินเทอร์เน็ตเปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีหนังสืออยู่จํานวนมาก ทําอย่างไรให้นักเรียนสามารถเข้าถึง ข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกับความต้องการอย่างรวดเร็ว วัฎจักรการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย (Internet research cycle) นี้ปรับปรุงมาจากวัฏจักรการแก้ ขั้นที่ 1 การกําหนดปัญหา ก่อนที่นักเรียนจะใช้อินเทอร์เน็ต ต้องกําหนดปัญหาที่ต้องการศึกษา วิจัยและร่วมกันอภิปรายถึงประเด็นที่สนใจร่วมกัน
.....
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
วัฎจักรการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย
(Internet research cycle)
ภาพ วัฎจักรการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัย (Internet research cycle)
ปัญหาด้านข้อมูลของ ไอเซนเบิร์ก และ เบอร์โกวิทส์ (Eisenberg and Berkowitz.1990) โดยการปรับให้เหมาะสมกับการใช้อินเทอร์เน็ต (Barron and Ivers.2000 อ?างถึง McKenzie.1995) แบ่งเป็น 6 ขั้นตอนคือ
ขั้นที่ 2 การวางแผน จากการกําหนดปัญหาในขั้นที่ 1 นํามาพัฒนาเป็นแนวทางเพื่อให้ปฏิบัติงาน ได้อย่างคุ้มค่า ประหยัดเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ต
ขั้นที่ 3 การรวบรวม ขณะที่นักเรียนสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ตตามความต้องการ จําเป็นต้องฝึก ทักษะในการเลือกเนื้อหาและรับข้อมูลซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
นักเรียนจะฝึกให้ประเมินประเด็นเนื้อหาอย่างรวดเร็วและหลีกเลี่ยงข้อมูลที่ไม่ต้องการ
ขั้นที่ 4 การเลือกสรร หลังจากที่นักเรียนออกจากอินเทอร์เน็ต จะเริ่มวิเคราะห์ถึงข้อมูลที่ได้รับมา ซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่ได้เลือกสรรมาแล้ว จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ใช้เวลาเพื่อจัดข้อมูลเข้าเป็น หมวดหมู่ หรือคัดข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป
ขั้นที่ 5 การสังเคราะห์ นักเรียนจะรวบรวมข้อมูลที่ตรงกับประเด็นในการศึกษาวิจัยตามปัญหาที่ กําหนดไว้และเขียนสรุป
ขั้นที่ 6 การประเมิน ในที่สุด นักเรียนพยายามตัดสินใจว่าข้อมูลต่างๆ ที่หามาได้มีความสอดคล้อง กับปัญหาที่ตั้งไว้ในขั้นที่ 1 หรือไม่ ซึ่งอาจจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ หากผลที่ได้ยังไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน วัฎจักรของการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการวิจัยนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถนํามาใช้ประกอบการเรียนได้ ซึ่งแตก ต่างจากการเรียนจากสื่อผ่านเครื อข่ายอินเทอร์เน็ตเฉพาะรายวิชา รูปแบบดังกล่าวสามารถใช้ ได้ ใน ต่างประเทศหรือในประเทศที่สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษซึ่งมีแหล่งข้อมูลให้เลือกสรรมากมาย จะสามารถนํามา ใช้ในประเทศไทยได้ถ้ามีสื่อและข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษามากพอและครอบคลุมประเด็นที่ต้องการ
ไม่มีความเห็น