ชาวไร่ข้าวโพดจะได้ราคาข้าวโพดที่เป็นธรรมได้อย่างไร?
ถ้าไม่เอาอีแต๋นไปปิดถนน
ระยะนี้ข่าวชาวไร่ข้าวโพดประท้วงปิดถนนเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ปัญหาราคาข้าวโพด ผุดเป็นดอกเห็ดปลายฝน มีทั้งที่เชียงราย แพร่ น่าน ตาก นครสวรรค์ และเลย เป็นต้น เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตรราคาถูกแล้วเกษตรกรใช้วิธีการประท้วงเรียกร้องกับรัฐบาลให้ช่วยเหลือยกระดับราคา ได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ทีไร ก็สลดหดหู่ใจทุกที
ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรเป็นปัญหาเรื้อรังตลอดมาตั้งแต่บ้านเมืองเราเริ่มปลูกพืชผลเพื่อขาย ปัญหามีแต่ทวีความรุนแรงขึ้น มีความพยายามแก้ไขกันอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยมีการขยับราคาให้เล็กน้อยผสมกับลมปากของเจ้าหน้าที่ของรัฐอีกนิดหน่อย ก็เพียงพอต่อการสลายม็อบเกษตรกร ให้เกษตรกรกลับไปจมอยู่กับปัญหานั้นต่อไป แล้ววันดีคืนดีก็ลุกมาประท้วงกันใหม่และก็แก้ปัญหากันด้วยวิธีเก่า ซึ่งก็ได้ผลแบบเก่า ๆเหตุการณ์สงบลงไปเป็นครั้ง ๆไป แต่ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขจริง ทำไมคนที่เกี่ยวข้องจึงไม่รู้สึกกับปัญหานี้กันจริงจังโดยเฉพาะในระดับเกษตรกรที่เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหานี้มากที่สุด
น่าสงสารเกษตรกร ผู้เขียนเชื่อว่าในสภาพปัจจุบันเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา ก็คงมีสติปัญญาอยู่เท่านี้แหละ ปลูกได้ผล ขายไม่ได้ราคา ก็ปิดถนน พูดอย่างนี้ไม่ได้ดูถูกดูแคลนชาวบ้านแต่อย่างใด นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับกันใช่ไหม? และ นี่คือข้อบ่งชี้ว่าการศึกษาที่บ้านเมืองจัดให้แก่ประชาชนระดับล่างส่วนใหญ่ของเรามีคุณภาพแค่นี้ใช่ไหม? รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเคยรู้สึกบ้างไหมว่าเขาเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติของเขาอย่างโหดเหี้ยมเลือดเย็นที่สุด คนเหล่านี้ได้แก่ พวกนักการเมืองที่อยากเป็นรัฐบาล พวกข้าราชการที่เกี่ยวกับชาวบ้านในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะคนเป็นครู อาจารย์ และผู้บริหารการศึกษาเคยรู้สึกบ้างไหม?ว่าสิ่งที่สอนเด็ก ๆไปนั้นเป็นเพียงการสร้างแรงงานเพื่อไปรองรับการกดขี่ของคนบางกลุ่ม ซึ่งคนบางกลุ่มที่ว่านี้ก็เป็นผลพวงของการศึกษาของประเทศนี้เช่นกัน แต่บังเอิญโชคดีที่มีตำแหน่งแห่งที่ภายใต้โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของบ้านเราที่ได้เปรียบ สำหรับคนกลุ่มนี้ ครูบาอาจารย์และผู้บริหารการศึกษาเคยรู้สึกบ้างไหม?ว่า เรากำลังสร้างคนที่รู้จักแต่จะดำรงชีวิตอยู่ บนหัว บนหลัง ของคนที่ด้อยกว่า ถ้าความรู้สึกแบบนี้ไม่เกิดขึ้นก็ยากที่จะมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้
ผู้เขียนเห็นว่าในคนชั้นเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา กรรมกร ซึ่งเป็นคนชั้นล่างของสังคมเท่านั้นที่น่าจะเป็นความหวังในการแก้ปัญหาเหล่านี้ ในบรรดาคนชั้นนี้ ย่อมจะมีผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม เห็นทุกข์ของคนชั้นตนไม่ใช่น้อย ดังที่มีตัวอย่างให้เห็นในชุมชนต่าง ๆ ที่มีผู้นำ ผู้รู้ ที่มักนิยมเรียกว่าปราชญ์ชาวบ้าน ได้พยายามผลักดันเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อยู่ และประสบความสำเร็จเป็นที่น่าสรรเสริญในความพยายามของท่านเหล่านั้น แต่ถ้าพิจารณาโดยภาพรวม พื้นที่ของความพยายามและความสำเร็จดังกล่าวยังมีสัดส่วนน้อยมาก ผู้เขียนอยากเรียกร้องให้ ผู้นำ ผู้รู้ ในแต่ละชุมชน ได้ลุกขึ้นมาร่วมกันคิด ร่วมกันทำ เพื่อแก้ปัญหา ชาวไร่ ชาวนา และกรรมกร จะไม่ต้องใช้การปิดถนนเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของตนเองอีกต่อไป ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าอีกไม่นานการปิดถนนก็จะไม่ได้ผล
การลุกขึ้นมาอย่างผู้ตื่นในทุกพื้นที่ต้องเกิดขึ้น และ ต้องเชื่อในพลานุภาพของการศึกษา ต้องใช้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการสร้างคนให้มีคุณภาพมากพอที่จะหลุดพ้นจากการกดขี่ของผู้อื่น และไม่เป็นผู้แสวงหาประโยชน์จากการกดขี่ผู้อื่น เช่นกัน ชุมชนต้องเข้ามาจัดการศึกษาของตนเอง โดยตนเอง และเพื่อตนเอง แนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนับว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่ชุมชนสามารถยึดเป็นหลักปรัชญาในการจัดการศึกษาของชุมชนได้เป็นอย่างดี การศึกษาที่รัฐจัดให้ไม่ว่าการศึกษาในระบบ นอกระบบหรือตามอัธยาศัย ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชุมชน หรือคนชั้นล่างของสังคมเท่าที่ควร ยังมีสาระของชีวิตอีกมากมายที่คนในชุมชนจะต้องเรียนรู้เพื่ออยู่อย่างมีชีวิตที่เป็นสุขในโลกยุคปัจจุบัน เพราะรัฐเป็นเจ้าของโรงเรียน เจ้าของครู และเจ้าของผู้บริหาร ตลอดทั้งเป็นเจ้าของคนและองค์กร ตั้งแต่เขตพื้นที่การศึกษา กรม และกระทรวง ทั้งหมด จึงส่งผลให้การศึกษาเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าเพียงชุมชนสามารถเข้าไปเป็นเจ้าของโรงเรียน(รวมการศึกษาที่ไม่ใช่โรงเรียนด้วย) เจ้าของครู และผู้บริหารการศึกษาเท่านั้น ก็สามารถเปลี่ยนแปลงการศึกษาของชุมชนได้เกือบทั้งหมด การเข้าไปเป็นเจ้าเข้าเจ้าของการจัดการการศึกษาดังกล่าวไม่ใช่เรื่องการทำผิดคิดร้ายอะไรในบ้านเมืองนี้ ทั้งนี้เพราะบทบาทอย่างนี้ของชุมชนได้มีการตราออกมาเป็นกฎหมายในชื่อ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และฉบับไข พ.ศ.2545 ได้กำหนดให้ชุมชนมีสิทธิในการจัดการศึกษาของชุมชนได้ในทุกระดับและในทุกประเภท(ต้องการรายละเอียดโปรดกดที่นี่ ) ในปัจจุบันทั้งรัฐ ทั้งชุมชนไม่นำพาเอาข้อกำหนดเหล่านี้มาสู่การปฏิบัติ ในส่วนของรัฐน่าจะเป็นความจงใจที่จะเพิกเฉย แต่ในส่วนของชุมชนน่าจะเกิดจากความไม่รู้ จึงใคร่จะย้ำไว้ในที่นี้ว่า ชุมชนต้องตื่นขึ้นมาจัดการศึกษาของตนเอง
ท่านอาจจะยังไม่เชื่อใช่ไหม?ว่า ถ้าชุมชนเข้าไปจัดการศึกษาของตนเองแล้ว พวกเราจะไม่ต้องเอาอีแต๋นไปปิดถนน เราก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้
Paaoontong
18 ธค. 51