ในสังคมทุกวันนี้มีผู้ที่ให้น้อยกว่าผู้ที่จะรับ
เกือบทุกคนล้วนแล้วแต่มุ่งที่จะเอา (Take) มากกว่าที่จะให้ (Give)
แต่ทุก ๆ คน ทุกผู้ ทุกสิ่ง ล้วนแล้วแต่ต้องการ “ความเมตตา” ซึ่งถูกนิยามออกมาเป็นความรักและความเข้าใจ
เมื่อคนในสังคมถูกหล่อหลอมด้วย “กิเลส” และ “ตัณหา” ทำให้ สังคมนี้ขาดซึ่ง “ความเมตตา” ต่อกันและกัน
สังคมนี้จึงเป็นสังคมอุปสงค์ล้น (Over Demand) และขาดแคลนซึ่งอุปทาน (Out of Supply)
ทุก ๆ คน ทุก ๆ ชีวิตทั้งที่มีลมหายใจและไม่มีลมหายใจ ล้วนแล้วแต่มุ่งหมายในการได้ซึ่งการดูแล การเอาใจใส่ การทะนุถนอม คำพูดดี ๆ การกระทำดี ๆ จากสังคม จากคนรอบข้าง
แต่ทว่า...
สังคมในยุคทุนนิยมที่ดำเนินตามสายแห่งเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Core Economics) หล่อหลอมคนจนมีอุปทานคือการให้ความรัก ความเมตตาต่อกันและกันน้อย สังคมนี้จึงเกิดภาวะ “วิกฤตแห่งความเมตตา (Crisis of Kindness)”
หากกล่าวถึงทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ความสมดุลของเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ถ้าหากอุปสงค์นั้นเท่ากับหรือใกล้เคียงกับอุปทาน
ความเมตตาก็เช่นเดียวกัน หากชีวิตนี้มีการรับและการให้ที่สมดุล สังคมนี้จักสุข และ “สงบ...”
และสิ่งที่ตรงกันข้ามกับทฤษฎีของเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่กล่าวว่า หากมีอุปทาน ไม่ว่าจะเป็นสินค้า หรือบริการเป็นจำนวนมากจนเกินความต้องการ สินค้าหรือบริการนั้นจะล้นตลาด ราคาสินค้านั้นก็จะตกต่ำ สินค้าจะขายไม่ออก บริษัทต่าง ๆ ก็จะล่มสลายหรือล้มละลายได้
แต่ความเมตตานั้น ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับสังคม ยิ่งมีมากยิ่งมั่นคง ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ
หากความเมตตามีมาก ล้น และเหลือไม่ว่าจะเป็นในตลาด ในสังคม จิตใจคนในสังคมนี้จะเบิกบาน
หรือย้อนกลับเข้ามากล่าวถึงเรื่องเศรษฐศาสตร์จุลภาค (Micro Economics) ซึ่งกล่าวว่าด้วยเรื่องของตัวบุคคล เรื่องของตัว ของตน เรื่องจิต เรื่องใจกันแล้ว
คนที่มีอุปทานแห่งความเมตตามากกว่าอุปสงค์ในตนเองแล้ว ยิ่งให้ยิ่งไม่ต้องการได้รับอะไรตอบแทนกลับมาเลย
การให้ที่ประเสริฐนั้นจักนำความอิ่มกาย อิ่มใจ
ยิ่งถ้ามีอุปทานคือการให้ความเมตตากับคนรอบข้าง กับครอบครัว กับสังคมมากขึ้นเท่าใด อุปสงค์หรือการต้องการความรักจากคนรอบข้างก็จักลดน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งสวนทางกับความจริงในปัจจุบัน ที่คนในสังคมนี้มีอุปทานคือมีความเมตตาให้กันและกันน้อย เมื่อมีให้น้อย ก็ต้องดิ้นรนแสวงหาความรัก ความเอาใจใส่ เป็น “สภาวะขาดแคลนความเมตตา (Out of Kindness Syndrome)” จึงทำให้ต้องขวนขวายหาความรัก หาคู่ครอง แต่ความรักประเภทนี้กล่าวได้ว่าเป็น “เมตตาเทียม (Imitation Kindness) ซึ่งได้มากเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอิ่ม ไม่มีวันพอ ต้องดิ้นรน ขวนขวายกระวนกระวาย อันทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมามากต่อมาก
ดังนั้นบุคคลทั้งหลายโปรดมีความเมตตาต่อกันและกันให้มากเถิด
มอบความเมตตาให้กับคนรอบข้าง ครอบครัว สังคม และโลกใบนี้
สังคมและลกใบนี้จักสงบและร่มเย็นได้ก็เพราะคนทั้งหลายมีอุปทานแห่งความเมตตาอย่างล้นหลาม
สร้างอุปทานแห่งความเมตตา (Kindness Supply) ให้มีสูงกว่าอุปสงค์หรือความต้องการความเมตตาของตนเอง
ถ้าคนหนึ่งคนมีอุปทานแห่งความเมตตามากกว่าอุปสงค์
สังคมอันว่าด้วยเศรษฐศาสตร์ระดับมหภาค (Macro Economics) นี้จักพบกับความ “สงบ”
ละอองความรู้สู่การต่อยอด...
สวัสดีครับ เข้ามาอ่านศึกษาครับผมและก็ทักทายด้วยครับ
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
สภาวะขาดแคลนความเมตตา (Out of Kindness Syndrome)
” วิกฤตแห่งความเมตตา (Crisis of Kindness)”
ชอบสองคำนี้มากๆเลยค่ะและเห็นด้วยว่าปัจจุบันนี้เป็นแบบนี้จริงๆ