การจัดการความรู้ในโรงเรียนเบิดพิทยาสรรค์ ( KM )
พระราชกฤษฏีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจกรรมบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546 มาตรา11 กำหนดไว้ว่าส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการเพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้องรวดเร็วเหมาะสมกับสถานการณ์รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกัน (สำนักงานก.พ.ร.2549:2) ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่หน่วยงานทางการศึกษาจำเป็นต้องพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เกิดความรู้ในการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุรณาพการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้กระบวนการจัดการกับความรู้นับเป็นกระบวนการที่สำคัญหนึ่ง
ความรู้ที่ได้มีการจัดการความรู้ ในโรงเรียนเบิดพิทยาสรรค์ มีดังต่อไปนี้
1. มีการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่น ได้แก่
1.1 หลักสูตรการทำเกษตรอินทรีย์
ลักษณะการจัดการเรียนกานสอนจะมีการเชิญวิทยากรในท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับนักเรียน มีการฝึกปฏิบัติจริง นำน้ำหมักและผลิตผลที่ได้ ไปใช้ในแปลงเกษตรสาธิตของโรงเรียน และนักเรียนได้นำความรู้และทักษะที่ได้รับไปปฏิบัติจริงที่บ้าน โดยมีการกำกับติดตามประเมินผล
1.2 หลักสูตรสวนสมุนไพร
ลักษณะการจัดการเรียนกานสอนจะมีการเชิญวิทยากรในท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับนักเรียน มีการฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งทางโรงเรียน โดยกลุ่มการงานอาชีพได้จัดทำแปลงสาธิตการปลูกพืชสมุนไพร แล้วแต่งตั้งนักเรียนเป็นคณะทำงาน
1.3 หลักสูตรดนตรีพื้นบ้าน (กลองยาว)
ลักษณะการจัดการเรียนกานสอนจะมีการเชิญวิทยากรในท้องถิ่น และตัวแทนองค์กรในท้องถิ่นมาเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้กับนักเรียน มีการฝึกปฏิบัติจริง ซึ่งในการจัดหาสื่อ วัสดุ อุปกรณ์การสอนต่าง ๆ โรงเรียนได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณบางส่วนจาก อง๕กรปกครองส่วนท้องถิ่นป็นอย่างดี ( อบต.)
2. โรงเรียนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนด้วยสื่อเทคโนโลยี ICT โดยการส่งครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการฝึกอบรม ได้จัดอบรมขึ้นในโรงเรียนโดยเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้ ความสามารถในแต่ละด้านที่ครูสนใจ มาฝึกอบรมให้อยู่เสมอ ๆ
3. โรงเรียนส่งเสริมการทำวิจัยในในชั้นเรียน โดยการส่งครูและบุคลากรทางการศึกษาเข้ารับการฝึกอบรม ได้จัดอบรมขึ้นในโรงเรียนโดยเชิญวิทยากรภายนอกที่มีความรู้ ความสามารถมาฝึกอบรมให้ จากนั้นฝ่ายบริหารได้นิเทศ กำกับติดตามมาโดยตลอด
ในการจัดการความรู้ดังได้กล่าวมาทั้งหมด ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อทางโรงเรียนหลายประการ ดังนี้
1. หลักสูตรท้องถิ่น
- ทำให้นักเรียนสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และน้ำยาขับไล่แมลงเองได้ ทำให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงซึ่งมีราคาแพง แถมผลิตภัณฑ์จากเกษตรอินทรีย์ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังไม่มีสารพิษสะสมอยู่ในพืชผักผลไม้ที่จะนำไปรับประทานอีกด้วย
- การที่นักเรียนได้เรียนรู้เรื่องพืชสมุนไพร นอกจากลดการพึ่งพายาแผนปัจจุบันแล้ว ยังเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับยาสมุนไพรสู่คนรุ่นใหม่อีกด้วย เป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นมิให้สูญหายไป ซึ่งนับว่าเป็นการดีอย่างเหลือเกินที่ในปัจจุบันนี้วงการแพทย์ได้หันมาสนใจและสนับสนุนการศึกษาค้นคว้า วิจัย ในการนำสมุนไพรที่มีอยู่อยางมากมายในประเทศไทยมาใช้ในการ บำบัดรักษาโรคต่าง ๆ
- หลักสูตรดนตรีพื้นบ้าน ทำให้เยาวชนมีความเข้าใจ และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่น มีความรัก ความผูกพันต่อท้องถิ่นของตน เป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านอันทรงคุณค่าของท้องถิ่นให้คงสืบต่อไป
2. การที่ทางโรงเรียนส่งเสริมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อ ICT ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ และทักษะในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ อีกทั้งทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อได้อย่างกว้างขวาง ขจัดข้อจำกัดทางด้านเวลา สถานที่ ในการศึกษาหาความรู้ได้ อันเป็นผลทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ อันเป็นเป้าหมายสำคัญ
3. การทำวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เกิดประโยชน์ต่อทั้งตัวผู้เรียน ครู และสถานศึกษา กล่าวคือ
- ประโยชน์ต่อผู้เรียน เนื่องจากผู้เรียนในชั้นเรียนมีความรู้ความสามารถพื้นฐานแตกต่างกัน ถ้าครูใช้รูปแบบการสอนเพียงแบบเดียวกับผู้เรียนทุกคน อาจทำให้ผู้เรียนบางคนไม่ได้รับการพัฒนาหรือ แก้ไขปัญหา ซึ่งอาจส่งผลกระทบไปถึงปัญหาอื่น
- ประโยชน์ต่อครู ทำให้ครูรู้จักการวางแผนการทำงานในหน้าที่ของตนอย่างเป็นระบบได้แก่ วางแผนการเรียนการสอน ออกแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนประเมินผลการทำงานเป็นระยะเป็นผลให้ครูเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ในการหาทางแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม ได้นวัตกรรมใหม่ ๆ และเกิดความมั่นใจในการทำงานมากขึ้น สามารถอธิบายได้ว่าตนเองสามารถจัดการเรียนรู้ให้เกิดผลแก่ผู้เรียนเป็นรายคนและแต่ละคนอย่างไรบ้าง
- ประโยชน์ต่อสถานศึกษา การศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานในหน้าที่ที่ครูรับผิดชอบอยู่ จะช่วยให้การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มากขึ้น สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุและชี้ประเด็นปัญหาได้ชัดเจน แก้ปัญหาได้ตรงจุด เป็นการสร้างเครือข่ายกัลยาณมิตรกันทางวิชาการในสถานศึกษา และยกระดับมาตรฐานวิชาการของสถานศึกษา ให้สูงขึ้น
แหล่งอ้างอิง
“การจัดการความรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม” [online]. เข้าถึงได้จาก:
http//www.npt2.obec.go.th/pre2/kkn/inno.dog. (2551, พฤศจิกายน 21)
รศ. รัชต์วรรณ กาญจนปัญญาคม. การจัดการองค์ความรู้ Knowledge Management [online].
เข้าถึงได้จาก http//www.fulbrightthai.org/data/knowledge. (2551, พฤศจิกายน 21)