89. โรคกรดไหลย้อน


โรคกรดไหลย้อน

           

 

เคยเกิดอาการแสบท้องและจุกบริเวณลิ้นปี่เป็นประจำ  จนคิดว่าตัวเองเป็นโรคกระเพาะอาหาร  โดยอาจมีแผลเกิดขึ้นที่กระเพาะอาหารแน่  จึงเกิดความกลัวและกังวล 

            จึงไปพบแพทย์  และได้มีการส่องกล้องในกระเพาะอาหาร  ซึ่งเป็นการทรมานมากกว่าจะเสร็จเรียบร้อย  ผลคือ  ไม่พบแผลในกระเพาะอาหาร  แต่กลับเป็นโรคกรดไหลย้อน  ซึ่งไม่เคยทราบ  หรือรู้จักมาก่อน  แต่ก็ได้รับยามารับประทานและการปฏิบัติตนเองตามที่คุณหมอแนะนำ ทำให้อาการดีขึ้น

            ดังนั้นจึงค้นคว้าเพื่อเป็นแนวทางในการทำความรู้จักและดูแลตนเองให้ถูกต้องเกี่ยวกับ           โรคกรดไหลย้อน  ดังนี้

โรคกรดไหลย้อน (Gastro esophageal Reflux Disease: GERD)

หมายถึง โรคที่มีอาการซึ่งเกิดจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารส่วนบนอย่างผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในเวลากลางวัน หรือกลางคืน หรือแม้แต่ผู้ป่วยไม่ได้รับประทานอาหารก็ตาม ทำให้เกิดอาการจากการระคายเคืองของกรด เช่น อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบและมีแผล หรือหลอดอาหารอักเสบโดยไม่เกิดแผล หรือถ้ากรดไหลย้อนขึ้นมาเหนือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน อาจทำให้เกิดอาการนอกหลอดอาหาร

          โดยปกติร่างกายจะมีกลไกป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไหลย้อนกลับของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไป เช่น การบีบตัวของหลอดอาหาร การทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนและส่วนล่าง เยื่อบุของหลอดอาหารเองก็มีกลไกป้องกันการทำลายจากกรด

          การที่เกิดโรคกรดไหลย้อนนั้นเชื่อว่าเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างมีการคลายตัวอย่างผิดปกติ ทำให้มีการไหลย้อนกลับของกรดขึ้นไปในหลอดอาหารได้ง่าย ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด   เช่น

          อาการของผู้ป่วย

            พบเบื้องต้นรู้สึกแสบร้อนหน้าอก กลืนลำบาก ไอเรื้อรัง

          1. อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร

                   - อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอก และลิ้นปี่ บางครั้งอาจร้าวไปที่บริเวณคอได้

                   - รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ กลืนลำบาก หรือกลืนเจ็บ เจ็บคอ หรือแสบลิ้นเรื้อรัง

                   - รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก

                   - มีเสมหะอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดเวลา เรอบ่อย คลื่นไส้

                   - รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายอาหารไม่ย่อย

          2. อาการทางกล่องเสียง และปอด

                    - เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม

                   - ไอเรื้อรัง หรือ รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน กระแอมไอบ่อย

                   - อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) แย่ลง เจ็บหน้าอก

                   - เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆ หายๆ

การรักษาโรคกรดไหลย้อน

          1. การปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน การรักษาวิธีนี้มีความสำคัญมากในการทำให้ผู้ป่วยมีอาการน้อยลง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการ การรักษาโดยวิธีนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม หรือแม้ว่าผู้ป่วยจะหายดีแล้วโดยไม่ต้องกินยาแล้วก็ตาม ผู้ป่วยควรปฏิบัติตนดังนี้

          นิสัยส่วนตัว

          - ถ้าน้ำหนักเกิน ควรพยายามลดน้ำหนัก เนื่องจากภาวะน้ำหนักเกินจะทำให้ความดันในช่องท้องมากขึ้น ทำให้กรดไหลย้อนได้มากขึ้น

          - พยายามหลีกเลี่ยงอย่าให้เครียด และควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะความเครียดและการสูบบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดมากขึ้น

-         หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับเกินไป โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว

           นิสัยในการรับประทานอาหาร

          - หลังจากรับประทานอาหารทันที  พยายามหลีกเลี่ยงการนอนราบ  การออกกำลัง  การยกของหนัก   การเอี้ยวหรือก้มตัว

          - หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึก และไม่ควรรับประทานอาหารใด ๆ อย่างน้อยภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมงก่อนนอน

          - พยายามรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำและพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอดอาหารมัน พืชผักบางชนิด เช่น  หัวหอม  กระเทียม มะเขือเทศ  ฟาสต์ฟู้ด  ช็อกโกแลต  ถั่ว  ลูกอม Peppermints  เนย  ไข่  นม  หรืออาหารที่มีรสจัด  เช่น  เผ็ดจัด  เปรี้ยวจัด  เค็มจัด  หวานจัด

                   - รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ

                   - หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท  เช่น กาแฟ  ชา  น้ำอัดลม  เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์

          นิสัยในการนอน

                   - ถ้าจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรรอประมาณ 3 ชั่วโมง

                   - เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น ประมาณ 6 - 10  นิ้วจากพื้นราบ อาจเริ่มประมาณ  1/2 - 1 นิ้วก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น

            2. รับประทานยา  เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร และ/หรือ เพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหารในการกำจัดกรด  ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยา หรือ หยุดยาเอง และควรมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง อาการต่างๆ อาจไม่ดีขึ้นเร็ว ต้องใช้เวลาในการหาย เมื่ออาการต่าง ๆ ดีขึ้น และผู้ป่วยสามารถปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวันในข้อ 1 ได้ และได้รับประทานยาต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2-3 เดือนแล้ว แพทย์จะปรับลดขนาดยาลงเรื่อยๆ ทีละน้อย ไม่ควรซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกรดไหลย้อน สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา และการปฏิบัติตัวตามข้อ 1

          3. การผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหารส่วนบน การรักษาวิธีนี้จะทำในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่สามารถรับประทานยาที่ใช้ในการรักษาภาวะนี้ได้ หรือผู้ป่วยที่ดีขึ้นหลังจากการใช้ยา แต่ไม่ต้องการที่จะกินยาต่อ ซึ่งผู้ป่วยที่ต้องทำการผ่าตัดมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น การรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี เช่น endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy

ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

คำสำคัญ (Tags): #โรคกรดไหลย้อน
หมายเลขบันทึก: 220070เขียนเมื่อ 31 ตุลาคม 2008 23:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 03:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีค่ะน้องสาวสวยมวยไทย

  • คิดว่ากำลังเป็นอยู่พอดี
  • คนแก่นี่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
  • ขอบคุณความรู้ดี ๆ ค่ะ
  • สวัสดีครับ พี่ตี่กับเช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสใกล้สาวสวยมวยไทย
  • เอ๊ เมื่อไหร่จะได้เจอกันนะครับ
  • สบายดีนะครับคุณพี่ รักษาสุขภาพด้วยครับ
  • ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆต่อสุขภาพ

สวัสดีค่ะ พึงเรียนเทอมนี่เป็นเทอมที่ 2 ได้อาจารย์ที่ปรึกษาใครค่ะ

สวัสดี... คุณครู วรางค์ภรณ์ เนื่องจากอวน ค่ะ

* เมื่อเราอายุมากกันแล้วมาช่วยกันดูแลสุขภาพนะคะพี่

* ดีใจที่พบกันค่ะ

ครูเมี๊ยวจ๋า... คิดถึจัง อยากไปเรียนอีกเนอะ

ขอบคุณ...คุณใยมด~natachoei(หน้าตาเฉย) มาก ๆ ค่ะ

สวัสดีน้องลูกฮวก.. . ค่ะ

อาจารย์ที่ปรึกษาพี่ ดร.สิทธิพร ค่ะ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่ดีและน่ารักม๊าก มาก

ขอบคุณน้องเอ๊ะจ้ะ... คงไม่นานเกินรอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท