ผู้วิจัย นางสาวอุมาพร พินิจภารการณ์
ปีการศึกษา 2550
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้วิธีสอนตามกระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (2) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทยระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้วิธีสอนแบบปกติ (3) เพื่อเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทย หลังเรียนของนักเรียนที่เรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้วิธีสอนตามกระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ กับนักเรียนที่เรียนวิชาภาษาไทย โดยใช้วิธีสอนแบบปกติ
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 96 โรงเรียน จำนวน 1,764 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย มีจำนวน 50 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยกลุ่มทดลองเป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านหนองขาม(สันติกาญจน์ราษฎร์บำรุง) จำนวน 25 คน ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนตามกระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และกลุ่มควบคุม เป็นนักเรียนโรงเรียนบ้านศาลาลัย จำนวน 25 คน ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง โดยเนื้อหาที่ใช้ในการทดลองเป็นเนื้อหาวิชาภาษาไทย โดยนำมาจัดทำเป็นแผนการสอนจำนวน 18 แผน ใช้เวลาในการทดลอง 18 ชั่วโมง การวิจัยครั้งนี้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ทางภาษาไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม
ผลการวิจัยพบว่า
(1) ความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทยโดยภาพรวมและในรายด้านทุกด้าน
ได้แก่ ด้านความคิดคล่องตัว ด้านความคิดยืดหยุ่น ด้านความคิดริเริ่มของนักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธีสอนตามกระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
(2) ความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทยโดยภาพรวมและในรายด้านทุกด้าน ได้แก่ ด้านความคิดคล่องตัว ด้านความคิดยืดหยุ่น ด้านความคิดริเริ่มของนักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
(3) ความคิดสร้างสรรค์ในวิชาภาษาไทยโดยภาพรวมและรายด้านในด้านความคิดคล่องตัว ด้านความคิดริเริ่มหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธีสอนตามกระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์สูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนในด้านความคิดยืดหยุ่นนั้นพบว่าสูงกว่าอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ไม่มีความเห็น