ช่อฟ้าหรือในภาษาถิ่นอีสานเรียก โหง่ ส่วนใบระกาในภาษาถิ่นอีสานเรียก
ป้านลม
โดยทั้งสองอย่างนี้เป็นส่วนประดับของสถาปัตยกรรมอีสานมีที่มาดังนี้
โหง่
นั้นมีรูปร่างเป็นพระยานาคความเชื่อของคนอีสานผูกพันอยู่กับตำนานเรื่องครุฑจับนาคโดยมีตำนานว่า[1] ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล
เมื่อพระยาครุฑจับพระยานาคได้และหมายจะฉีกกินเป็นอาหาร
ฝ่ายพระยานาคกลัวตายจึงนิมิตลำตัวให้ยาวออกไป
แล้วเอาหางเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่ไว้
ฝ่ายพระยาครุฑก็ใช้กำลังฉุดจนกระทั่งต้นไม้ใหญ่ถอดรากล้มลงไป
จนกระทั่งผ่านมาถึงกุฏิอันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระยานาคก็นิมิตรหางให้ยาวออกเอาหางไปพันไว้ที่อกไก่ของกุฏินั้น
พระยาครุฑดึงจนกุฏินั้นสะเทือน
พระพุทธเจ้าซึ่งประทับในนั้นเห็นดังนั้นจึงสงสารเลยกล่าวพระคาถาไล่ครุฑ
ฝ่ายพระยาครุฑตกใจจึงปล่อยนาคเอาไว้ แล้วหนีไป
นาคเมื่อเห็นพระยาครุฑหนีไปจึงหดตัวมาพันที่อกไก่และมาพิจารณาว่า
หากแม้นไม่ได้อกไก่บนกุฏิของพระพุทธเจ้าแล้วคงโดนพระยาครุฑฉีกกินเป็นแน่
เมื่อรำลึกถึงคุณเช่นนี้แล้วจึงคลายตัวออกจากอกไก่นิมิตตนเป็นคนแล้วเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า
โดยปวารณาขอเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บริเวณอกไก่ของกุฏิ
วิหารเป็นโหง่มาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนั้นก็เลื้อยเป็นส่วนประดับอาคารส่วนอื่น ๆ อีกเช่น หน้าบัน
คันทวย บัวหัวเสา บันได เป็นต้น
ในหนังสือ นาคในประวัติศาสตร์อุษาคเนย์ ของสุจิตต์
วงษ์เทศได้กล่าวถึงนาคที่เกี่ยวข้องกับคนลาวและการสร้างเวียงจันทบุรีที่สองฝั่งแม่น้ำโขงว่า[2]
บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขงทั้งที่กำแพงนครเวียงจันทน์และเมืองศรีเชียงใหม่ฝั่งไทยเป็นเมืองเวียงจันท์แต่โบราณมาแล้วตามนิทานปรำปราบอกไว้ในหนังสืออุรังคธาตุว่า
มีบุรุษเข็ญใจผู้หนึ่งชื่อ บุรีจันอ้วยล้วย
เกิดในตระกูลชาวนาเรียกพ่อนา ตั้งบ้านอยู่ที่ หนองคันแทเสื้อน้ำ
พ่อนาคนนี้ทำบุญเป็นประจำ ต่อมามีเหตุ พญานาคเห็นพฤติกรรมทำบุญของ
พ่อนา
จึงเนรมิตให้มีรูปงามและมีลาภยศมากมายพร้อมทั้งเนรมิตบ้านเรือนภายหลังได้ชื่อว่า
เวียงจันทบุรี แล้ถูกอุ้มสมได้กับนางอินทรสว่างลงฮอด
ธิดาเจ้าคำบงจึงยกแคว้นเมืองสุวรรณภูมิให้บุรีจันครอบครองทั้งหมด
นาคนั้นเป็นสัญลักษณ์ของชาวลาวเนื่องจากคนลาวเชื่อว่าตนเองสืบสกุลมาจากนาค
จึงใช้นาคเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ