ข้อมูลความรู้และความคิดจะได้จากการอ่าน การฟัง การสังเกต และการมีส่วนร่วมในการถกเถียงปัญหา เสวนา และสัมมนา แต่ในยุคปัจจุบันได้มีเครื่องไม้เครื่องมือทางอิเล็คโทรนิค อินเตอร์เน็ต และไซบอร์สเปซ ได้ทดแทนสิ่งตีพิมพ์ซึ่งเป็นแหล่งความรู้หลัก อย่างไรก็ตาม การอ่านหนังสือยังเป็นแหล่งของข่าวสารข้อมูล ความรู้และความคิดที่สำคัญ ความรู้และปัญญาที่เกิดจากการอ่านหนังสือเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ปัญหาก็คือ
การรักการอ่านหนังสือยังไม่เป็นนิสัยประจำชาติของคนไทย ข้อยกเว้นก็มีอยู่ในกลุ่มผู้มีการศึกษาระดับชนชั้นสูงที่มีนิสัยรักการอ่าน การค้นคว้า แต่คนทั่วๆ ไปในสังคมไทยอ่านหนังสือน้อยมาก และในสมัยโบราณนั้นคงคาดกันได้ว่าหนังสือที่จะอ่านซึ่งเป็นสิ่งตีพิมพ์ก็มีไม่มากนัก ที่เห็นได้ชัดก็คือ ในปัจจุบันในวงการโฆษณาขายหมู่บ้านจัดสรรนั้นมักจะมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ คือ ห้องนอนใหญ่ 1 ห้อง ห้องนอนเล็ก 2 ห้อง ห้องน้ำ 4 ห้อง ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องคนงาน ฯลฯ แต่ไม่มีห้องหนังสือ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าชนชั้นกลางไทยไม่เคยสนใจที่จะมีห้องหนังสือ เพราะการอ่านหนังสือยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของชนชั้นกลาง ในแง่หนึ่งในสังคมจีนโบราณนั้นมีประเพณีของการสอบเพื่อเป็นข้าราชการในระดับอำเภอ มณฑล และระดับชาติ จึงทำให้เกิดประเพณีปัญญาการที่ส่งเสริมการอ่านหนังสือศึกษาค้นคว้าเพื่อสอบแข่งขัน ประเพณีปัญญาการในสังคมไทยก็มีอยู่ในหมู่ชนชั้นสูง แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับศาสนาพุทธหรือมิฉะนั้นก็ปรัชญาการปกครองบริหารและตำราพิชัยสงคราม คนทั่วๆ ไปไม่รู้หนังสือหรือไม่เห็นคุณค่าของการอ่านหนังสือ
ชนชั้นกลางที่เกิดจากเศรษฐกิจที่จำเริญนั้นมีรูปแบบการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมของตนเอง จุดเน้นหลักของการใช้ชีวิตภายในบ้านอยู่ที่การตบแต่งภายใน และสัญลักษณ์ของคนชั้นสูงจะสะท้อนออกถึงการตบแต่งบ้าน เครื่องแก้วเจียรนัย พระพุทธรูปราคาแพง งาช้าง ชุดรับแขกหรู มากกว่าการเน้นการมีห้องหนังสือเพื่อเป็นส่วนสำคัญของบ้าน
นัยที่สำคัญก็คือ
คนธรรมดาสามัญที่ไม่อ่านหนังสือเนื่องจากไม่รักการอ่าน จะมีโอกาสเข้าถึงข่าวสารข้อมูล ความรู้และความคิดน้อยมาก และยิ่งคำนึงถึงระบบการศึกษาที่ไม่ส่งเสริมความคิดริเริ่มและการคิดวิเคราะห์ก็ยิ่งจะทำให้ไม่สบายใจยิ่งขึ้น ที่สำคัญค่านิยมสังคมก็ไม่มีส่วนเสริมให้เกิดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เมื่อมองในสภาพนี้บุคคลทั่วๆ ไปที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือจะไม่มีวันได้รับข่าวสารข้อมูลใหม่ๆ ข่าวสารที่ได้รับแบบผ่านๆ จากการฟังวิทยุ หรือโทรทัศน์ ก็จะเลือนลางหายไปทันทีที่จบรายการประกาศข่าว
สภาพดังกล่าวได้นำไปสู่ความเป็นห่วงเป็นใยของผู้ที่สามารถจะคาดการณ์อนาคตได้ว่าจะส่งผลในทางลบอย่างไรบ้าง คนญี่ปุ่นจะมีนิสัยชอบการอ่านขณะที่คอยรถเมล์หรือรถใต้ดิน หรือแม้อ่านหนังสือในรถโดยสารประจำทาง คนไทยจะออกจากบ้านโดยไม่ถืออะไรในมือยกเว้นโทรศัพท์มือถือซึ่งจะใช้พูดคุยกัน ดังนั้น แหล่งของข่าวสารข้อมูลก็คือตำราที่โรงเรียนหรือจากสื่อมวลชน บางคนอาจจะอ่านนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์รายวันที่ตนสนใจ หรือที่สอดคล้องกับรสนิยม แต่ก็ได้ข่าวสารข้อมูลจำกัดเฉพาะเรื่อง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รักการอ่าน และต้องเติบโตรับผิดชอบต่อการบริหารบ้านเมืองก็จะกลายเป็นคนที่มีความรู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ ความรู้อันจำกัดนั้นจะทำให้ไม่สามารถเผชิญกับการท้าทายของยุคใหม่ได้ อันเป็นยุคที่ต้องใช้ความรู้ในการปกครองบริหารและจัดการ เมื่อคนไม่รักการอ่านหนังสือ การสร้างสังคมแห่งภูมิรู้หรือภูมิปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้
ทำอย่างไรจึงจะให้คนหนุ่มสาว เยาวชน รักการอ่านและมีความสนุกในการอ่านไม่ใช่เรื่องง่าย
ความอยากรู้อยากเห็นหรือใฝ่รู้เป็นตัวแปรอันสำคัญ แต่ความอยากรู้อยากเห็นและรักการอ่านนี้จะต้องผ่านการกล่อมเกลาจากบิดามารดา ถ้าบิดามารดาอ่านหนังสือให้ลูกเห็นในห้องหนังสือ ลูกก็จะมีนิสัยชอบการอ่านหนังสือตามพ่อแม่ แต่ถ้าบ้านทั้งบ้านมีหนังสือไม่กี่เล่ม กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ และเด็กไม่เคยสนทนากับพ่อแม่อย่างจริงจังในเรื่องที่นอกเหนือจากตัว เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาประเทศชาติ ความสนใจก็จะจำกัดเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับตนโดยตรง เมื่อเป็นเช่นนี้วิสัยทัศน์ก็จะไม่ไปไกลกว่าสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว และความรู้สึกเรื่องความจำเป็นในการอ่านหนังสือหาความรู้ก็จะเป็นศูนย์ โครงการที่ส่งเสริมให้เกิดการรักการอ่านในหมู่เยาวชนคนรุ่นใหม่ จะต้องมีการเริ่มต้นโดยองค์กรต่างๆ ทั้งของรัฐบาลและสถาบันการศึกษา กระบวนการดังกล่าวจะเป็นกระบวนการที่มีอุปสรรคและอาจดำเนินไปได้อย่างไม่ราบรื่นนัก เพราะจะต้องมีการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนนิสัยของคน ที่สำคัญจะกินเวลาในกิจกรรมอย่างอื่นที่คนรุ่นใหม่อาจจะให้ความสนใจหรือให้น้ำหนักมากกว่า แต่ก็เป็นกระบวนการที่ต้องเริ่มต้น ณ บัดนี้ก่อนที่สังคมไทยจะล้าหลังสังคมอื่นๆ เนื่องจากความตื่นตัวและกระตือรือร้นในการที่จะก้าวตามทันโลก เช่นกรณีของประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศที่กำลังขวนขวายศึกษาสมองกล ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และวิทยาการต่างๆ ด้วยการอ่านหนังสือ ค้นคว้า และวิจัยอย่างรีบเร่งในขณะนี้
ที่มา : http://www.aksorn.com
ไม่มีความเห็น