GROW ME**** เป็นกระบวนการ Coaching
การมองเด็กแยกเป็นรายบุคคล มีแผนเฉพาะของตัวเอง ไม่ได้ทำ IEP หรือเพิ่มภาระงานเอกสาร
• G ตั้งเป้าหมาย
• R สอดคล้องกับความเป็นจริง ข้อจำกัด ทรัพยากร มีอะไรบ้าง
• O ทางเลือก ตัวช่วยมีอะไรบ้าง
• W การลงมือทำ ขั้นตอน
• M ติดตาม ตรวจดูว่าที่ทำมีจุดอ่อนอย่างไร ย้อนไปได้ถึงเป้าหมาย วิธีการ
• E ประเมินผล ตั้งเป้าหมายใหม่
(****ดูความหมายเพิ่มเติมที่ http://gotoknow.org/blog/orange/172778
หนังสือ GROW ME
ผู้แต่ง อึ้ง ปาค ที
ผู้เรียบเรียง เจริญเกียรติ ธนะสุขถาวร, ลักษณา จอมสืบ, พิมพ์พร จันทร์ดี
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://www.pearson-indochina.com/local/elt/elt041.htm)
คนเราเรียนรู้โลกได้ 2 กระบวนการนี้
• เลียนแบบ
• ลองผิด ลองถูก
ถ้าเราถามเด็กว่ามีเป้าหมายอะไร เขาตอบได้เท่าที่ เขาได้ยินได้ฟัง ฉะนั้นเป้าหมายเปลี่ยนได้
การ ทำ Check list คือการทำเป้าหมายของกระทรวงให้เป็นรูปธรรม เช่น ส่งเสริมความซื่อสัตย์ ม้นตีเป็นพฤติกรรมอะไร เราเป็นโครงการนำร่อง เราเก็บค่าใช้จ่ายน้อยกว่าปกติ โรงเรียน/ส่วนชุมชนฯ ช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ด้วยไม่น้อย เรามาเพื่อช่วยกันทำงาน มาช่วยกันปรับปรุง เพิ่มเติม ให้คนรุ่นหลังกัน
ฐานกายเกี่ยวข้องกับอารมณ์
กินอิ่มนอนหลับ ร่างกายแข็งแรง ทำไมยังเรียนรู้ไม่ได้ สังเกตว่าเราใช้คำว่าทักษะร่างกาย
คนเราตอบสนองต่อสิ่งเร้า ผ่านระบบประสาท 3 ขั้นตอน
• ระบบการรับสัมผัส 7 ช่องทาง
o รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส การทรงตัว ท่าทาง
o เราอยู่ในที่เดียวกัน รู้สึกไม่เหมือนกัน แต่ก็อยู่ใน Norm
ถ้าคนรับสัมผัสกับความเย็นเกิน Norm เขาจะทำอย่างไร
พฤติกรรมตก Norm แปลกไปกว่าเพื่อน เมื่อประสาทสัมผัสเกิน Norm คือ
• ไวไป
• เฉื่อยไป
คนเรามีระดับการตื่นตัวไม่เท่ากันในกิจกรรมต่างๆ
ตัวอย่าง
ถ้าง่วง แต่ อยากขับรถต่อ เราเร่งเร้าตัวเอง ด้วยการเปิดเพลงดังๆ กินกาแฟ ล้างหน้า ฯ
ถ้าอยากพักผ่อน แต่มีเสียงรบกวน เราก็พยายามตัดสิ่งเร้า ปิดหน้าต่าง อุดหู ฯ
เด็กในห้องเรียนของเราล่ะ เขาไว/เฉื่อย อย่างไร
อย่าลืมประสาทสัมผัสมันไม่มีประตูเปิดปิด
เราเพิ่งรู้ว่าตอนนี้มีลมพัดมาโดน มีสัมผัสของเสื้อผ้า ฯ เรารู้สึกแต่เราไม่ได้ให้ความสนใจ
ถ้าทุกอย่างน่าสนใจไปหมดสำหรับเด็กๆ เขาจะเป็นอย่างไรในห้องเรียน
• การตีความ
ตัวอย่าง เด็กเดินไปสกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ เด็กจะตีความได้อย่างไรบ้าง เพื่อนทัก เพื่อนแกล้ง เพื่อนบังเอิญเดินมาชน สิ่งที่ครูเห็น กับสิ่งที่เด็กตีความ อาจไม่เหมือนกัน การตีความ ส่งผลถึงพฤติกรรมนั้น เด็กลุกมาตอบโต้ ไม่ใช่เด็กก้าวร้าว แต่อะไรทำให้เขาตีความแบบนั้น เราต้องมาช่วยดู
• ระบบการสั่งการร่างกาย
สมอง ส่งสัญญาณมาที่ร่างกายอย่างเรียงลำดับเหมาะสม มิติสัมพันธ์ ตำแหน่ง ทิศทาง ความเร็ว เด็กแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เขาทำตามไม่ได้ไม่ใช่เพราะดื้อ แต่เพราะทักษะร่างกายเขาบกพร่อง หรือหย่อนยาน
มีภูเขาน้ำแข็งข้างใต้อีกเยอะที่เรามองไม่เห็น
ทักษะที่เด็กควรมี
• Knowledge Skill
• Working Skill
• Life Skill
o ทักษะสังคม
o ทักษะการแก้ปัญหา
o ทักษะการสื่อสาร
o ทักษะการจัดการอารมณ์
• คุณธรรม
• Self Esteem จะเกิดได้เมื่อ
o เป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับ ไม่สงสัยในความรักตั้งแต่ขวบปีแรก
o สะสมชัยชนะเล็กๆ มาตลอด
• ทักษะการทำงานร่วมกับคนอื่น
o เข้าใจคุณค่า ความสัมพันธ์ พลังกลุ่ม
o เห็นคุณค่าของตัวเองต่อกลุ่ม
o จัดสมดุลย์ประโยชน์ส่วนรวม vs ส่วนตัวได้
การช่วยให้เด็กตั้งเป้าหมายต้องรู้อะไรบ้าง
• เข้าใจพัฒนาการเด็ก
• เข้าใจจุดแข็ง-อ่อนของเด็ก
• เข้าใจความมุ่งมั่นปรารถนาความต้องการของโรงเรียน แต่ละหน่วยงานก็มีปรัชญาแนวทางของเราอยู่
• บทบาทในฐานะโค้ชจะทำอย่างไร
o การสังเกต ในการเข้าใจเขา
o สร้างแรงจูงใจ
o การสื่อสาร พูดให้รู้เรื่องเข้าใจกัน
o การจัดการเด็ก ทำให้บ้านอบอุ่นปลอดภัย ให้เกิดการเรียนรู้ ดังนี้
• การคิด
• การจัดการอารมณ์
• การสร้างวินัย
• การให้คำปรึกษา แนะแนว
เรามาคุยกันตรงนี้ เฉพาะในฐานะโค้ช นี่คือภาพรวมทั้งหมดของเราที่จะมาเจอกัน 3 ครั้งนี้
มัน จะช้าไปไหม ตอนนี้อยู่ ป.3 แล้ว เป็นแรงเฉื่อย เป็นต้นทุน เราขาดทุนไปแล้ว เรามาล้างบัญชี เริ่มใหม่ แต่เราก็สบายกว่า ป.5 แล้วพวกอนุบาลจะง่ายกว่าเรา เราต้องอดทด มุ่งมั่น
กิจกรรมแรก
1. ดูคนที่เราถูกกำหนดให้ดู ต้องไม่มีใครสบตากันนะ (ต้องทำความเข้าใจในคำสั่งกันเล็กน้อย วิทยากรเลยชวนให้คิดว่าในห้องเรียนเด็กเจอคำสั่งแบบไหน แล้วที่บ้านเวลาเราบอกให้ลูกทำอะไร ลูกจะเข้าใจเราไหม)
2. ให้ดูส่วนดี ข้อดี ส่วนที่เราชอบ เป็นอะไรก็ได้ ให้เวลา 10 วินาที
3. บอกว่าเราเห็นข้อดีอะไร แล้วเรารู้สึกอย่างไร
คำตอบที่ได้
• เป็นคนใจดี สวย น่าจะดึงดูดลูกๆ ให้มารายล้อม ยินดีที่ได้มารู้จัก
• เป็นคนกระฉับกระเฉง มีความคิดดีจากคำพูด ดีใจที่ได้เจอ
• ผมสวย น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี ดูแลตัวเองดี น่าจะดูแลลูกดี ชอบ
• ใจเย็น ง่ายๆ มีความมั่นคงทางอารมณ์ ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี
• อารมณ์ดี ใจเย็น น่าจะไม่ดุ (ความจริงไม่รู้) ลูกน่าจะ happy
• เป็นทางการ วันนี้ผ่อนคลาย สบายๆ ไม่เหมือนที่เคยเห็น น่ารักดี เป็นเด็กขึ้น มีหลายบทบาท
• สบาย อยากคุยด้วย สนุก แต่คงกังวลอยู่ข้างใน เปิดเผยดี
• ดูแลตัวเองดี แต่งตัว match ไม่หลุด look น่าเอาเป็นแบบอย่าง นิ่ง พูดจาเพราะ เขาเป็นคนรับฟัง น่าเอาเป็นแบบอย่างให้ลูกสาว นิยมคนนิ่งๆ แบบนี้ ตัวเองเป็นไม่ได้
• อารมณ์ดี อบอุ่น น่าจะเป็นทีปรึกษาได้ แต่ก็มีแอบดุ น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
• ชอบ ตัวเองชอบคนสวย ดูลูกชายให้อยู่ใน control ได้
• ชอบมาก สุภาพ อ่อนหวาน อ่อนโยน ตัวเองเป็นไม่ได้ ถ้าเป็นได้สามีคงรักเรามากขึ้น
• เสียสละเพื่อสังคม และลูก มี concept ในการเลี้ยงลูก แต่ก็มีความอบอุ่น ชื่นชมในความเสียสละ
• มีความพยายาม จริงจัง ชัดเจน ไม่เอาแต่ใจตัวเอง สุภาพ อยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้ดี ไม่กลัวที่จะหาความรู้ ชอบค่ะ
• หล่อ พูดมีหลักการ ฟังแล้วอยากฟังต่อ อยากเป็นอย่างคุณพ่อได้
หลังจากที่ได้ฟังแล้ว ก่อนได้ยิน กับหลังได้ยิน ความรู้สึกต่อตัวเอง กับคนพูด เป็นอย่างไร
• เรามีความสุข รู้สึกดีกับตัวเอง และกับคนพูด ดี
• ดีใจ มีคนเห็นความกระฉับกระเฉงของเรา
• รู้สึกดีขึ้นทั้งสองฝ่าย
• รู้สึกกับตัวเองดีอยู่แล้ว แต่ดีใจเพราะได้ยินว่าเขาก็เห็น
• รู้สึกภูมิใจ เขาเห็นในสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะมีคนเห็น
• รู้สึกว่าคนพูดอ่อนน้อมมาก ในภาวะที่กำลังคิดว่าตัวเองอยากทำต่อหรือเปล่า ก็เลยต้องคิดหนักว่าอยากทำต่อไหม อย่างไร อยากพัฒนาตัวเองขึ้นอีก
• อยากของบคุณที่ชมว่าสวย ไม่ค่อยมีใครชม อายว่าเราไม่ใจดีอย่างที่เขาเห็น แต่อยู่บ้านเราดุ เสียงดัง
• รู้สึกดี ไม่ค่อยมีคนชม
• ดีใจที่ภาพเรายังออกมาดี
• ดีที่มีคนมองว่าเรา friendly อยากมีเพื่อนเยอะๆ รู้สึกดีที่มีคนอยากคุยดด้วย
• ก่อนพูดรู้สึกลุ้น เขาเคยเตือนเรามาตลอด แต่พอฟังแล้วอุ่นใจ เขาเห็นความดีในตัวเรา
• รู้สึกดีขึ้น ชอบมีคนชม
ใครรู้สึกสนิทกับเขามากขึ้น อยากคุยต่อ สิ่งที่เขามองเรานั้นเราอยากทำต่อ
วันนี้มอบอาวุธสำคัญให้ คือ การมองส่วนดี และการชื่นชม
เรารู้สึกกับคนที่ไม่คุ้นเคย ลูกเราจะรู้สึกมากกว่านี้หลายเท่า เขาก็รู้สึกแบบนี้
มีรายละเอียด คือ ถ้าพูดถึงส่วนที่เราคาดไม่ถึง จะดีใจมากกว่าสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว
พฤติกรรม พึงประสงค์ และ ไม่พึงประสงค์ เหมือนตาชั่งสองแขน เรามีเวลา 24 ชั่วโมง ถ้าทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ 23 ชั่วโมง ก็เหลือให้อีก 1 ชั่วโมงไปเป็นอื่น
หลักการชม 3 ข้อ
1. บอกพฤติกรรมที่เราชม
2. บอกความรู้สึก สิ่งที่เราสนใจจริงๆ คือ คนอื่นรู้สึกอย่างไร เราต้องบอกลูกว่า เรารู้สึกอย่างไร มากกว่า “เก่ง” “ดี”
3. บอกว่าสิ่งที่ทำมันเข้าได้กับคุณลักษณะอะไร
เด็ก ได้ยินสิ่งไม่ดีมาเยอะ เรื่องไม่ดีของตัวเองมาเยอะ เวลาเราได้ยินเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเอง เราก็จะเชื่ออย่างนั้น พ่อแม่พูดอะไรเด็กก็จะเชื่อ และเด็กก็จะทำอย่างที่เชื่อ
กิจกรรมที่สอง
ครั้งสุดท้ายที่เราชม เมื่อไร
ลองชมอีกครั้ง เอาคนตรงกันข้ามเป็นเป้าสายตา
ตัวอย่าง
หมายเหตุ
• ชมลูกไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์ เอาให้ตรงๆ ชัดๆ
• ไม่ต้องใส่ความคาดหวัง
ให้พ่อแม่ลองหาคำชมที่ไม่ใช่ “เก่ง” “ดี”
• ปลื้ม
• สุดยอด
• เทพ
• แม่มีความสุขจัง
• เยี่ยม
• แม่ภาคภูมิใจ
• ดีจัง
• รักจัง
• เรารอดแล้วลูก
• ซึ้งจริงๆ
• ว้าว โอ เลยลูก
• สมบูรณ์แบบ
• เจ๋ง
• ฮีโร่
• เป็นคนที่มีความคิดดีมากๆ
• ขอบคุณลูก
• ดีที่ทำได้
• โอ้โห แม่คิดไม่ออกเลยลูก เห็นหนูทำแบบนี้
• โอ้ พระเจ้าจอช
• อย่างนี้เขาเรียกว่ารัก
• อย่างนี้สิ ลูกแม่
• ทำได้ไงเนี่ย
• ถูกใจพ่อ มากเลยลูก
ทีนี้เอาคำที่ไม่มีความหมาย
• กุ๊กกู๋
• อึ้ม หือ
• มะ มานี่มะ
• โห
• ยกนิ้วโป้ง
• โหลูก เนอะ
• (คำที่มีความหมาย ไม่จำเป็นเสมอไป)
• น่ะ นะ
• จริงดิ
• ส่งจูบ
• อึ้สสสส
• อึ่ม พยักหน้า
เลือกเอาไปใช้ให้ตรงกับบุคลิคของเรา อย่าฝืน ไม่อย่างนั้นมันจะ fake
วันนี้ได้อะไรบ้าง
• วิธีพูดกับลูก
• มุมมอง
• สติ
• เพื่อน ปรึกษาได้เวลามีปัญหา
• ได้ทบทวน ลองทำ
• ได้รู้ว่าคนอื่นก็มีปัญหาเหมือนกัน
• ได้แนวทางไปปรับปรุงที่มีอยู่
• ได้มองให้เข้าใจลูกมากขึ้น
• ได้เห็นคุณค่าของการชื่นชม
• ได้สิ่งใหม่ และ confirm สิ่งที่เราทำอยู่ ได้ฝึกภูมิเพิ่ม อารมณ์ความเป็นแม่บทบังความรู้ที่มี ทิ้งความเป็นแม่ที่ผิดๆ
• ได้รู้ และเข้าใจอะไรมากขึ้น พอได้ทฤษฎี คำแนะนำ เราเป็นผู้ชายอาจหยาบ ก็ได้แนวทางไปทำกับลูก
• เรามาด้วยต้นทุนเท่ากัน 90% เราทำอยู่แล้ว และมาพบสิ่งที่จะทำเพิ่มได้ ได้ explore อะไรมากขึ้น
ไม่มีความเห็น