ถุงพลาสติกกับภาวะโลกร้อน
ถึงเวลานี้ คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า ไม่รู้จักปรากฏการณ์สำคัญของโลกที่เรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global warming)
ปีที่ผ่านมา ภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศไทยต้องเผชิญกับอากาศหนาวจัดกว่าหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ภาคกลางประสบกับปัญหาน้ำท่วมหนักอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน ส่วนภาคใต้ก็เจอกับพายุที่รุนแรงขึ้น ปัญหาทะเลกัดเซาะชายฝั่งเข้ามาลึกมากขึ้น คงไม่ต้องย้ำกันอีกรอบ ตามที่วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์แห่งนิตยสารคดี บอกว่า ภาวะโลกร้อนได้มาเคาะประตูบ้านของเราแล้ว...
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๐ คณะกรรมการนานาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (IPCC) ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์กว่า ๒,๕๐๐ คน จาก ๑๓๐ ประเทศ ได้พบข้อสรุปอย่างชัดเจนแล้วว่า สาเหตุของปัญหาโลกร้อน นั้น ร้อยละ ๙๐ มาจากการที่ มนุษย์เผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินไป จนความร้อนจากพื้นโลกไม่สามารถสะท้อนออกนอกโลกได้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอย่างรุนแรงไปทั่วโลก
ดังนั้นภารกิจที่เหล่ามนุษยชาติต้องรับผิดชอบร่วมกันก็คือ ลดการเผาผลาญเชื้อเพลิงและปล่อยก๊าซคารบอร์ไดออกไซด์ลงให้มากที่สุด เพื่อต่อเวลาให้กับโลกใบนี้ให้ยาวยิ่งขึ้น
ถุงพลาสติกที่เราใช้รองรับสินและอาหาร ผลิตจากเม็ดพลาสติก จากอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ที่ใช้เพลิงฟอสซิลเป็นวัตถุดิบการผลิตถุงพลาสติกสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ในปริมาณมาก และด้วยต้นทุนที่ต่ำ เมื่อนำมาใช้จะมีอายุการใช้งานสั้น และส่วนใหญ่เป็นการใช้เพียงครั้งเดียว โดยเฉพาะถุงขนาดเล็กและบางถุงที่ผ่านการใช้งานแล้วและถูกนำไปทิ้งจะเป็นภาระในการเก็บขน และจัดการเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณลักษณะที่เบาบาง และมีปริมาณมากปะปนกับมูลฝอยประเภทอื่นๆ จะทำให้การย่อยสลายมูลฝอย เป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น
ถ้าถามว่า “ลดใช้ถุงพลาสติกเกี่ยวอะไรกับโลกร้อน” และเราคนเดียว ลด หรือ ไม่ใช้ ถุงพลาสติก จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้? คำตอบคือ ได้
ต้นเหตุสำคัญคือ ร้อยละ 90 มาจากมนุษย์ สร้างกิจกรรมเผาผลาญเชื้อเพลิง ส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ – CO2 ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากเกินความสามารถของโลกที่จะสะท้อนความร้อนจากพื้นโลกออกไปนอกโลกได้ทัน
ผลคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศอย่างรุนแรงทั่วโลก ซึ่งล้วนแต่เป็นผลกระทบระดับมหันตภัยทั้งสิ้น เช่น
• พายุหมุนที่เกิดถี่ และรุนแรงมากขึ้น
• ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก
• สภาพอากาศที่แปรปรวน จนยากจะคาดเดา
• ฤดูกาล และวงจรการเกษตรเปลี่ยนแปลง
• โรคระบาดใหม่ๆ เป็นต้น
ความเกี่ยวโยงระหว่างการใช้ถุงพลาสติกกับโลกร้อนคือ ยิ่งมีการใช้ถุงพลาสติกมากเท่าไหร่ ปริมาณ
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลก จากการเผาไหม้ในกิจกรรมการผลิต และเผาทำลายถุงพลาสติกก็จะยิ่งสูงมากขึ้น ตามมาด้วยปัญหามากมายจากมลพิษ
ถุงพลาสติกมีผลทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งถุงพลาสติก 1 ใบ ต้องใช้เวลาย่อยสลายถึง 450 ปี หากนำไปเผาก็จะทำให้เกิดสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซึ่งทำให้เกิดมลภาวะทำให้โลกร้อน และการใช้ถุงผ้าจะช่วยลดการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็ง และหากทุกคนหันมาใช้ถุงผ้าเพียงสัปดาห์ละ 1 วัน จะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านถุง/ปี
ทั้งนี้ ปัจจุบัน (กันยายน 2550 ) กทม.ต้องเก็บขยะมากถึง 85,00 ตัน/วัน เป็นถุงพลาสติกถึงร้อยละ 21 หรือ 1,800 ตัน/วัน ดังนั้น หากเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าแทน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายการเก็บขยะได้วันละ 1.78 ล้านบาท/วัน หรือคิดเป็น 650 ล้านบาท/ปีหัวข้อ
• ความจริงเกี่ยวกับพลาสติก
• ปัญหาจากการใช้ถุงพลาสติก
• การลดการใช้ถุงพาสติก
• ข้อดีของการใช้ถุงผ้า
มาตรการควบคุมการใช้ถุงพลาสติกในต่างประเทศ
ความจริงเกี่ยวกับพลาสติก
• ถุงพลาสติกเป็นสิ่งประดิษฐ์สุดวิเศษ น้ำหนักเบาในยุค 1960 ซึ่งพัฒนาขยายผลมาจาก เซลลูลอยด์ ที่สังเคราะห์ขึ้นจากความต้องการหาวัสดุทดแทนงาช้าง ในการผลิตลูกบิลเลียดในช่วงปี 1868
• ถุงพลาสติกเป็นของใช้ยอดนิยมของคนทั่วโลก ในปัจจุบัน มียอดการใช้ 5 แสนล้าน ถึงล้านล้านใบต่อปี หรือเฉลี่ยทุก 1 นาทีมีการใช้ถุงหิ้วอย่างน้อย 1 ล้านใบ
• และจำนวน 5 แสนล้านใบนี้ ต้องใช้พลังงานการผลิตจากน้ำมันจำนวน 9 พันล้านลิตร เทียบให้ชัดคือ พลังงานที่ใช้ผลิตถุงพลาสติก 8.7 ใบ สามารถเปลี่ยนไปเป็นน้ำมันให้รถวิ่งได้ไกล 1 กิโลเมตร
• ถุงพลาสติกเป็นของใช้ที่มีอายุการใช้งานสั้น พร้อมเป็นขยะทันทีหลังการใช้ แต่ใช้เวลาในการย่อยสลายนานถึง 450 ปีเป็นอย่างน้อย
• ถุงพลาสติกหูหิ้ว แม้จะเป็นชนิดที่นำไปรีไซเคิ้ลได้ แต่ปัจจุบันมีการนำกลับไปรีไซเคิ้ลน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนที่ผลิตออกไป จากการสำรวจพบว่าทุกตารางกิโลเมตรทั่วโลกจะมีขยะพลาสติกราว 46,000 ชิ้น
• ทุกปีผู้คนจับจ่ายซื้อของทั่วโลกใช้ถุงพลาสติก 10,000 ล้านใบต่อปี ซึ่งจะต้อง ใช้เวลา ย่อยสลาย นานกว่า 1,000 ปี
• ถุงพลาสติก 1.6 ล้านใบ นำไปเรียงเป็นเส้นรอบวงโลกได้ 1 รอบ
• ทุก 1 ตารางไมล์ จะพบถุงพลาสติก 46,000 ใบลอยในมหาสมุทร ซึ่งส่งผลให้แต่ละปีมีนกทะเลตาย 1 ล้านตัว และสัตว์ทะเลอื่นๆจำนวน 100,000 ตัว และปลาอีกนับไม่ถ้วน
• แต่ละปีมีเต่าทะเล และสัตว์น้ำจำนวนมาก ตายจากการกินพลาสติก เพราะคิดว่าเป็นอาหาร เช่น แมงกะพรุน
• ถุงพลาสติกที่คนไทยใช้ในหนึ่งปีนั้น ถ้าเอามาต่อกัน จะได้เป็นระยะทางเท่ากับ เดินทางไปกลับดวงจันทร์ 7 รอบเลยทีเดียว
ปัญหาจากการใช้ถุงพลาสติก
ประโยชน์เพียงเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ ของถุงพลาสติกได้ทำให้เกิดโทษต่อระบบนิเวศและชีวิตของผู้บริโภคต่อเนื่อง กว้างขวางและยาวนานในแต่ละสัปดาห์ คนไทยนำถุงพลาสติกกลับบ้านมากกว่า 100 ล้านถุง หรือมากกว่า 5000 ล้านถุงในแต่ละปี การนำถุงพลาสติกไปใช้ซ้ำอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนอย่างมากโดยเฉพาะการใช้ถุงพลาสติกใส่มูลฝอยจะทำให้เกิดการแปรสภาพมูลฝอยในภาวะที่ขาดอากาศเป็นผลให้เกิดก๊าซชีวภาพที่เป็นต้นเหตุของการเกิดภาวะเรือนกระจก และทำให้โลกร้อน
ถุงพลาสติกที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้ทำให้เกิดปัญหาที่สำคัญดังนี้
• การเสื่อมโทรมของดิน
• การเสื่อมคุณภาพของน้ำ
• เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งในน้ำและบนบก
• เป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดชีวภาพที่เป็นก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ
• ให้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นสารก่อมะเร็งเมื่อถูกเผา
• ทำให้เกิดการอุดตันในทางระบายน้ำ ปละทำให้เกิดน้ำท่วม
• เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ
• เป็นต้นเหตุของการเพาะพันธุ์และแพร่กระจายของพาหะนำโรคและการแพร่ระบาดของโรคร้ายหลายชนิด
เป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุของการเดินทางทั้งทางบก และทางน้ำและทางอากาศ
การผลิตและนำออกมาใช้มีปริมาณมากและต่อเนื่อง ขณะที่การย่อยสลายต้องใช้เวลายาวนานทำให้เกิดการสะสมปริมาณถุงพลาสติกเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อลดและป้องกันปัญหาหลากหลายที่เกิดจากถุงพลาสติก จำเป็นต้องลดการใช้ ด้วยการใช้ทางเลือกในการรองรับและขนส่งสินค้าและอาหาร แทนการใช้ถุงพลาสติก เช่นการใช้ถุงผ้า หรือวัสดุอื่นที่ย่อยสลายได้ และสามารถใช้ได้ยาวนาน ผู้บริโภคจะสามารถมีส่วนร่วมในการจัดการมูลฝอย และลด-แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ถุงผ้า
การลดการใช้ถุงพาสติก
ถุงพลาสติกเป็นผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากเพราะย่อยสลายได้ยาก ใช้เวลาเป็นร้อยๆปี วิธีการกำจัดถุงพลาสติกนั้น มีอยู่ 2 วิธี คือ
1. ฝัง : การฝังต้องใช้พื้นที่เยอะและพื้นที่นั้นก็จะทำการเกษตรไม่ได้อีกเลย เพราะ พลาสติกไม่ย่ิอยสลาย
2. เผา : การเผานี้ ถ้าเผาไหมไม่สมบูรณ์ ก็จะมีก๊าซพิษออกมาด้วย แต่แม้ว่าจะเผาไหมสมบูรณ์ก็จะมีก็าซ คาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นก็าซเรือนกระจก มีคุณสมบัติอมความร้อน ไปปกครุมอยู่รอบโลก ทำให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการเผาไหมก็ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์ 100% ได้ ทำให้มีทั้งก๊าซพิษ และก๊าซเรือนกระจก
จะกำจัดอย่างไร อย่างไรก็เป็นผลเสียทั้งนั้น พวกเราต้องช่วยกัน ลด งด ใช้ถุงพลาสติก โดยการ
1. นำถุงผ้า หรือพาชนะไปใส่ของแทน แล้วก็พูดว่า "ไม่ต้องถุงก็ได้" ตัวอย่างเช่น จะไปตลาดก็เอากระเป๋าผ้าและกล่องใส่อาหาร ไปใส่ของแทน ไปซื้อกับข้าวก็เอาปิ่นโตไปแทน ไม่ต้องเอาถุงพลาสติกทุกชนิดนะจ๊ะ
2. ใช้ถุงกระดาษ อย่างเมืองนอกเวลาเราดูหนัง เขาซื้อของกลับมาบ้าน อุ้มถุงกระดาษเข้ามา ก็เพราะเขาไม่ต้องการใช้ถุงพลาสติกที่ย่อยสลายยากนั้นเอง ยังไงใช้ถุงกระดาษก็ยังดีกว่านะ อันนี้ก็ต้องขอความร่วมมือจากพ่อค้า แม่ค้า และห้างใหญ่ๆด้วย
3. ใช้ถุงพลาสติกแบบย่อยสลายได้ ถุงแบบนี้ความจริงมีมานานแล้ว ถุงพลาสติกแบบนี้จะผสมสารย่อยสลาย ซึ่งก็จะแทรกตัวอยู่ในโมเลกุลของเม็ดพลาสติก สารย่อยสลายนี้เมื่อเจอกับแสดงแดดก็จะทำปฏิกิริยากับเม็ดพลาสติก ให้โมเลกุลแตกสลาย ถุงแบบนี้จะใช้เวลา 1 ปีในการย่อยสลาย โดยจะเห็นได้ว่า ความเหนียวของถุง จะลดลงเรื่อยๆ จนไม่เหลือเลย
ข้อดีของการใช้ถุงผ้า
ถ้าคนเราใช้ถุงผ้าสัปดาห์ละ 1 วันจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้มากกว่า 100 ล้านถุงต่อปี ข้อดีของการใช้ถุงผ้ามีดังนี้
• ซักทำความสะอาดได้โดยง่าย
• นุ่มสบายมือน่าใช้ และไม่ก่อให้เกิดการกดทับอย่างรุนแรงต่อฝ่ามือเท่าถุงพลาสติก
• ใช้ง่ายขาดยาก ตกแต่งได้ตามสไตล์ที่ชอบ
• ย่อยสลายได้ ไม่ตกค้างจนเป็นปัญหาในสิ่งแวดล้อม
• ทนทานและใช้ซ้ำได้มากครั้งกว่าถุงพลาสติก
• ช่วยลดปริมาณมูลฝอย ไม่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก
• ช่วยลดปัญหาโลกร้อน
• บ่งบอกภาวะรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของผู้ใช้
• ใช้ถุงผ้าไปได้ทุกที่ ใส่ได้หลายอย่าง
• ใช้เป็นสื่อรณรงค์เสริมสร้างความเข้าใจและความตระหนักในสิ่งแวดล้อมได้อย่างกว้างขวาง
• ถุงผ้าดิบจะช่วยลดการเกิดและการปนเปื้อนของสารประกอบไดอ๊อกซินที่เป็นสารก่อมะเร็งที่มีอันตรายต่อชีวิต
• พกพาติดตัวได้ง่าน และติดรถ พร้อมใช้งานในทุกโอกาส
• ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เริ่มใช้ถุงผ้าตั้งแต่วันนี้ และแบ่งปันถุงผ้าที่มีอยู่แก่ผู้อื่น เพื่อขยายวงกว้างของความพยายามลดก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อน
มาตรการควบคุมการใช้ถุงพลาสติกในต่างประเทศ
จากความร้ายแรงของภัยถุงพลาสติก ทำให้หลายๆ ประเทศมีมาตรการคุมกำเนิดถุงพลาสติกกันอย่างจริงจัง จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี เช่น
• การประกาศห้ามใช้ถุงพลาสติกในบังกลาเทศ และออสเตรเลีย
• การเก็บภาษีถุงพลาสติกในไอร์แลนด์
• การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมถุงพลาสติกของไต้หวัน
• การแขวนการ์ดไว้ที่แคชเชียร์ของห้างใหญ่ในเมืองฮิโรชิม่า ที่ญี่ปุ่น ถ้าลูกค้าไม่ต้องการถุง ก็ยกการ์ดขึ้น แล้วจะได้รับแต้มสะสมเพื่อสิทธิประโยชน์จากทางห้างต่อไปด้วย
• ที่สิงคโปร์ ร่วมกันรณรงค์ โดยกำหนดให้วันพุธแรกของเดือนเป็นวันพกถุงช้อปปิ้ง หากไม่ได้เตรียมถุงไปก็ต้องจ่ายเงินเป็นค่าถุง ใบละ 0.1 เหรียญสิงคโปร์ หรือ 2.50 บาท
• ซานฟรานซิสโก ออกกฎหมายห้ามใช้ถุงพลาสติก นับเป็นเมืองแรกของอเมริกา ประเทศที่ถือเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุด
• การประกาศตัวเป็นเมืองปลอดถุงพลาสติกของเมืองลีฟเรปิดส์ ในแคนาดา ผู้ฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษเป็นค่าปรับหนักๆ คิดเป็นเงินไทยมากถึง 30,200 บาท
• ส่วนในบ้านเรายังเป็นการรณรงค์ในลักษณะประปราย ที่เคยจัดกิจกรรมรณรงค์ครั้งใหญ่ๆ ก็เมื่อช่วง 2-3 ปีก่อน จากนั้นกระแสก็ซาไป และกลับมาคึกคักอีกครั้งในปีนี้ และที่น่าจะเป็นความหวังคือการพัฒนาวัสดุทดแทน “พลาสติกชีวภาพ” (bioplastic) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการศึกษา ไม่แน่ว่าบ้านเราอาจจะมีพลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ พร้อมๆ กับที่ฝรั่งเศส ซึ่งออกกฎระเบียบให้เริ่มใช้พลาสติกชีวภาพ ในปี 2553
ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นทั้งแนวคิด และแรงกระตุ้นให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในบ้านเรา ทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยเฉพาะซุปเปอร์สโตร์ข้ามชาติที่มีสาขาทั่วประเทศ และกำลังซื้อจากลูกค้ามหาศาล ร้านสะดวกซื้อขนาดย่อมที่กระจายอยู่แทบทุกซอยในกรุงเทพ และตัวเมืองของทุกจังหวัด จับมือกันสร้างกระแสนี้ให้เป็นจริงในเมืองไทย
จะให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใกล้ๆ ตัวที่เราทำได้ หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัวที่เราไม่เคยคิดจะทำ คำตอบอยู่ที่ใจคุณ
ขอบคุณข้อมูลจาก
ลดอุณหภูมิโลก ลดการบริโภค
www.thaivolunteer.org
คนไทยร่วมใจใช้ถุงผ้า
www.greenleafthai.org
ร่วมมือจุดปลี่ยน ลด งด ใช้ถุงพลาสติก
http://developed-thailand.blogspot.com
"ไม่เอาถุง" กู้โลกร้อน ?? โดย : Whiskas
http://webboard.mthai.com/7/2007-08-29/342384.html
แหล่งข้อมูลจาก : http://guru.sanook.com/pedia/pedia_layout.php
การรณรงค์ใช้ถุงผ้า...บทเรียนที่ห้างสรรพสินค้าต้องทบทวน
การปฏิเสธไม่รับ “ถุงพลาสติก” จากห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร และโรงแรม กลายเป็นประเด็นรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดให้มีมาตราการลดการใช้พลาสติกและโฟม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้มีมติรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2547 เรื่อง “การลดการใช้พลาสติกและโฟม” รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไป หันมาใช้ “กระเป๋าผ้า” ภาคเอกชน ร้านค้าต่างๆ ที่ขายสิ้นค้าประเภทเสื้อผ้า-กระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าแนวพื้นเมืองเหนือ หรือ “ถุงย่าม” พอมีกระแสโลกร้อน แฟชั่นกระเป๋าผ้ากลายเป็นที่นิยม ผลิตกระเป๋าผ้าตอบสนองความต้องการตลาดหลังจากเห็นว่ามีการรณรงค์กันมาก โดยใส่ดีไซน์การ์ตูนชาวเขาน่ารัก ๆลงบนผ้าดิบพร้อมคำขวัญที่บ่งให้รู้ว่าผลิตมาใช้อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่ทำให้กระแสตื่นตัวต้าน “ภาวะโลกร้อน” สำนักนวัตกรรมแห่งชาติร่วมกับบริษัทเอกชนเปิดตัวกระเป๋าผ้านาโนป้องกันน้ำ ใช้แทนถุงพลาสติกในการจ่ายตลาด “ต้านภาวะโลกร้อน” โดยให้ 4 นางสาวไทยร่วมเปิดตัวกระเป๋าผ้านาโน นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ หมิง -ชาลิสา บุญครองทรัพย์ เจี้ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์ และ ปุ๋ม -ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เพียงข้ามคืน “กระเป๋าผ้า” กลายเป็นเทรด์ สะพายแล้วทันสมัย จะตามกระแสหรือช่วยลดภาวะโลกร้อน ก็ไม่ว่ากัน ผู้เขียนก็เช่นกัน จะตามกระแส ไม่ตกเทรด์ ให้ทันสมัย หรือช่วยลดภาวะโลกร้อน ผู้เขียนได้รับแจกถุงกระเป๋าผ้าจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 เชียงใหม่ อย่างน้อย 3 ใบ ผู้เขียนมีโอกาสใด้ใช้ถุงกระเป๋าผ้านี้ในโอกาสที่ต่างๆกัน แต่บ่อยครั้งที่ได้ใช้คือนำไปจ่ายตลาดสด เมื่อปฏิเสธิ “ไม่รับถุงหิ้วพลาสติก” พ่อค้าแม่ค้า ก็ตอบสนองตามกระแสให้ทันสมัย พูดว่า “ดี... ช่วยโลกร้อน” ผู้เขียนรู้สึกชื่นใจและยิ้มให้ จะเป็นการทันกระแสหรือช่วยลดภาวะโลกร้อนของพ่อค้าแม่ค้าก็ตาม แต่อย่างหนึ่งทำให้รู้ว่า พ่อค้าแม่ค้าได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญ....(ภาวะโลกร้อน)....และกำลังช่วยกัน...(ลดภาวะโลกร้อน) อีกครั้งผู้เขียนได้นำกระเป๋านี้ไปจ่ายตลาด แต่คราวนี้ไม่ใช่ “ตลาดสด” แต่เป็น “ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ต” ขนาดใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ผู้เขียนปฏิเสธิ“ไม่รับถุงหิ้วพลาสติก” ที่ระบุชื่อของห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างชัดเจน แคชเชียร์ประจำห้างทำน่างงๆ แต่ไม่พูดอะไร.... ผู้เขียนจัดสินค้าใส่ลงในถุงกระเป๋าผ้า ส่วนสินค้าที่มีน้ำหนักและชิ้นใหญ่ก็แยกออกวางในรถเข็นของห้าง เมื่อเดินออกจากช่องทางเดินพ้นบริเวณแคชเชียร์ ทันใดก็มีเจ้าหน้าที่ห้าง สังเกตจากเสื้อโปโลที่สวมใส่มีสัญญาลักษณ์และชื่อของห้างเข้ามาสอบถามและตรวจดูรายการสิ้นค้าจากใบเสร็จรับเงินและผู้เขียนก็อธิบายเหตุผลที่ไม่รับถุงหิ้วพลาสติกของห้าง ผู้เขียนเดินจากจุดนั้นไปก็มีเจ้าหน้าที่ห้างพร้อมยามรักษาความปลอดภัย 3 คนเข้ามาสอบถามและตรวจรายการสิ้นค้าตามใบเสร็จอย่างละเอียด ผู้เขียนก็อธิบายเหตุผลที่ไม่รับถุงหิ้วพลาสติกของห้างเป็นครั้งที่สอง แล้วเดินจากจุดนั้นไปยังร้านขายยาภายในห้างทิ้งรถเข็นไว้หน้าร้านขายยา ผู้เขียนก็ต้องตกใจ หันไปตามเสียงที่ตระโกนสอบถาม “ใคร... เป็นเจ้าของรถเข็นคันนี้?” ผู้เขียนแสดงตนเป็นเจ้าของรถเข็นพร้อมคำอธิบายเหตุผลที่ไม่ใช้ถุงหิ้ว “พลาสติก”ของห้างเป็นครั้งที่ 3 ครั้งที่ 3 นี้เอง ผู้เขียนรู้สึกไม่พอใจ โกธรนิดๆ เพราะท่าทีของยามรักษาความปลอดภัยและเจ้าหน้าที่ของห้าง สอบถามและตรวจดูสิ้นค้าตามใบเสร็จ...ราวกับคนขโมยของในห้าง ผู้เขียนรู้สึกได้รับความอับอายเมื่อมีผู้คนมากมายในห้างหันมามองและหยุดยืนดู .... ผู้เขียนพูดกับตนเองด้วยความอดทน “ไม่เป็นไร... พวกเขาทำตามหน้าที่” ผู้หญิงเจ้าของร้านเล็กๆ ในห้างแห่งนี้ เดินมาหาแล้วพูดว่า “ดิฉันเห็นเหตุการณ์ในลักษณะนี้บ่อย ๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย เป็นฝรั่ง(ชาวต่างชาติ) ฝรั่ง เขาจะไม่เอาถุงพลาสติกเลย เขาเตรียมถุงผ้ามาเอง วันหนึ่งดิฉันเห็นฝรั่งต้องเทของทุกอย่างออกจากถุงผ้า เพื่อตรวจค้น” ผู้เขียน “ขอบคุณ”เธอแล้วเดินลงบันใดเลือนออกไปด้วยความอับอาย เพียงแต่ไม่รับถุงหิ้วพลาสติกของห้างนี้ ก็ถูกกระทำและสายตาที่มองดูเป็นคนขโมยสินค้าของห้าง.... ผู้เขียนเข็นรถเข็นมาถึงบริเวณประตูทางออก จุดนี้เองที่ผู้เขียนอดทนอดกลั่นไม่ได้ เป็นครั้งที่ 4 ที่ถูกตรวจค้นสินค้าในรถเข็น ผู้เขียนรู้สึกในความอับอายและโกธรมาก ๆ ที่ถูกกระทำให้ได้รับความอับอาย เพราะเหตุผล เพียงแต่ปฏิเสธิ “ไม่รับถุงหิ้วพลาสติก” ของห้างเท่านั้น กระทำต่อเราเสมือนเป็นผู้ร้ายขโมยสินค้าในห้าง ผู้เขียนไม่พูด ไม่โต้แย้ง ยื่นใบเสร็จสินค้าให้ตรวจสอบ เดินออกจากห้าง..... ตั้งสติได้ แล้วพูดกับตนเองอีกครั้งว่า “ไม่เป็นไร?...” พวกเขาไม่รู้ .... พวกเขาไม่เข้าใจ .... พวกเขาทำตามหน้าที่ ...... ส่วนฉัน (ผู้เขียน) จะอุทิศการทำงาน เพื่อ “รักษ์โลก” ให้มากขึ้น
สุดท้าย.... ผู้เขียนขอหยิบยกบทความหนึ่ง ที่กล่าวถึง “พลาสติก” ว่า ในปัจจุบันมีการนำพลาสติกมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ทำให้ขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกมีปริมาณเพิ่มขึ้นทุกปีและก่อให้เกิดปัญหาในพื้นที่ฝังกลบขยะมูลฝอย ทั้งนี้ เนื่องจากขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกมีปริมาตรสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนักและสามารถทนแรงอัดได้สูงกว่าขยะมูลฝอยประเภทอื่นถึง 3 เท่า อีกทั้งยังใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายนาน ทำให้สิ้นเปลืองพื้นที่ฝังกลบขยะมูลฝอย หากนำไปกำจัดโดยการเผาอย่างไม่ถูกวิธีจะเกิดมลพิษทางอากาศรวมทั้งสารไดออกซิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้น แนวทางหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ คือการลดปริมาณขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกที่แหล่งกำเนิดที่สำคัญ เช่น ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร โรงแรม เป็นต้น กรมควบคุมมลพิษ จึงได้จัดทำแนวทางการลดการใช้พลาสติกในศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานลดการใช้พลาสติกในสถานประกอบการที่เป็นแหล่งกำเนิดขยะมูลฝอยประเภทพลาสติกในพื้นที่ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ
ผู้เขียน... ก็หวังว่า การใช้ถุงกระเป๋าผ้า แทนถุงหิ้วพลาสติก จะไม่เป็นแค่แฟชั่นที่ผ่านแล้วผ่านไป หากทุกคนตระหนักที่จะประหยัดและใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า หากท่านใดที่เจอประสบเหตุการณ์เหมือนอย่างที่ผู้เขียนเล่าให้ฟัง.... คงไม่ต้องลงโทษหรือ กล่าวโทษใคร ๆ แต่ทุกคนคงต้องช่วยกัน ให้การแนะนำ และให้ความรู้ความเข้าใจ เราทุกคนก็อยู่รวมกันได้ ร่วมกันรักษา รักษ์โลกใบนี้ให้อยู่กับเรา กับลูกหลานเรา กับสรรพสิ่งชีวิต ในโลกใบนี้ ไปอีกนานแสนนาน
เครือข่ายต้านโลกร้อนสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1
ผลกระทบภาวะโลกร้อนกับสุขภาพ
ภาวะโลกร้อน ทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการฟักตัวของเชื้อโรค โรคที่เคยควบคุมได้จะกลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง ในที่ประชุม London school and tropical medicin แถลงว่า แต่ละปีประชาชนราว 160,000 คน เสียชีวิต และได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่มาลาเรีย ไปจนถึงการขาดแคลนสุขอนามัยที่ดี และตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัวในอีก 17 ปีข้าหน้า ภาวะโลกร้อนทำให้พบโรคอุบัติใหม่และเชื้อโรคกลายพันธุ์หลายชนิดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เช่น กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา กรุงฮาเร ประเทศซิมบับเบ ที่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องยุง เพราะตั้งอยู่บนพื้นที่สูง แต่ในปัจจุบัน ยุงเป็นปัญหาของพวกเขา เพราะอากาศร้อนขึ้นทำให้ยุงบินขึ้นสู่ที่สูงขึ้น รวมทั้งไวรัสนิปาห์ ที่ระบาดในมาเลเชีย
ความเป็นมา
มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (มพส.) หรือ Energy for Environment Foundation (E for E) เป็นหน่วยงานอิสระที่มิได้มุ่งแสวงหากำไร จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม
ช่วยกันทิ้งถุงพลาสติก