อ่านหนังสือกันดีกว่า
ชุมพล หลวงจอก *
ความนำ
นานาประเทศล้วน นับถือ
คนที่รู้หนังสือ แต่งได้
ใครเกลียดอักษรคือ คนป่า
ใครเยาะกวีไซร้ แน่แท้คนดง
โคลงสี่สุภาพข้างต้นเป็นบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แสดงให้เห็นว่าการอ่านหนังสือได้นั้นมีความสำคัญมาก เป็นสิ่งที่นานาอารยประเทศล้วนยกย่องสรรเสริญ
โลกยุคปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว วิชาการทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไป มีการค้นคว้าสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมาย
มนุษย์จำเป็นต้องรับรู้ข่าวสารอย่างรวดเร็วเพื่อพัฒนาตนเองและสังคม สังคมปัจจุบันเป็นสังคมแห่งข่าวสารประเทศที่พัฒนาคือประเทศที่ประชากรมีคุณภาพ สามารถรับข่าวสารได้รวดเร็วและชาญฉลาด การอ่านหนังสือเป็นวิธีรับข่าวสารที่แตกต่างจากวิธีอื่นเพราะเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้คิดและจินตนาการได้กว้างไกล หนังสือสามารถบันทึกประสบการณ์ของมนุษย์ได้อย่างกว้างขวาง ตลอดจนบันทึกสิ่งที่เป็นความรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการสมัยใหม่ มนุษย์จำเป็นต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม ผู้ที่สามารถอ่านออกเขียนได้ จึงเป็นผู้ที่รับข่าวสารได้รวดเร็วมีโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
(อนงค์ บุญเลิศ, ๒๕๓๘,หน้า ๑)
ประโยชน์ของการอ่าน
ประเทศที่พัฒนา ประเมินกันที่คุณภาพของประชาการ ประชาการที่มีคุณภาพคือ ผู้ที่สามารถอ่าน วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประยุกต์ และประเมินข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ (อนงค์ บุญเลิศ, ๒๕๓๘,หน้า ๑๐) ดังนั้นหากต้องการให้ประเทศไทยพัฒนามากกว่าที่เป็นอยู่ สมควรอย่างยิ่งที่คนไทยจะต้องตระหนักและเห็นคุณประโยชน์ของการอ่านให้มาก
ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล (อ้างถึงใน อนงค์ บุญเลิศ,๒๕๓๘,หน้า ๑๐) กล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านไว้ดังนี้ ๑. การอ่าน ช่วยป้องกันและแก้ปัญหาบางอย่างได้ เช่นการอ่านคำแนะนำการใช้ยา คำแนะนำการใช้เครื่องมือต่างๆ ถ้าผู้อ่านเข้าใจแจ่มแจ้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านั้นเท่ากับเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาซึ่งจะเกิดได้เป็นต้น ๒. การอ่านช่วยพัฒนาจิตใจให้เจริญงอกงามขึ้น เช่น การอ่านหนังสือธรรมช่วยให้มีเมตตาจิต อ่านสารคดีท่องเที่ยวช่วยให้เกิดความรักบ้านเมือง รักธรรมชาติ เป็นผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกอยากจะอนุรักษ์ไว้ เป็นต้น ๓. การอ่านช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เช่น การอ่านบทความบางประเภทก่อให้เกิดแนวคิดสร้างสรรค์ เห็นแนวทางในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เช่นประดิษฐ์สิ่งของจากเศษวัสดุเหลือใช้ หรือจากสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ๔. การอ่านช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิต ชีวิตในสังคมปัจจุบันเป็นชีวิตที่ต้องทำอะไรอย่างรวดเร็วจึงจะทันเหตุการณ์ เช่น ในการเดินทางอาจจะต้องอาศัยการอ่านแผนที่จะทำให้เดินทางได้ถูกต้อง ๕. การอ่านช่วยพัฒนาอาชีพ วิชาการแต่ละอาชีพมักจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพจึงต้องก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนั้น วิธีการที่สะดวกและรวดเร็วที่สุดนั้นได้จากการอ่านหนังสือต่างๆ
การอ่านหนังสือบางประเภท เช่น หนังสือชีวประวัติเกี่ยวกับบุคคลที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็วในชีวิต ทำให้ผู้อ่านได้ศึกษาถึงชีวิต และการต่อสู้ชีวิตก่อนที่บุคคลเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจ เป็นแบบอย่างที่ดีที่สมควรลอกเลียนแบบ ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมหรือแนะนำให้เยาวชนไทยอ่านหนังสือประเภทชีวประวัติบุคคลสำคัญนี้ให้มากเพื่อจะเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องต่อไป ดีกว่าไปเลียนแบบดารา หรือแฟชั่น ซึ่งมีบางส่วนที่ไม่อาจเป็นแบบอย่างที่พึงประสงค์ของเยาวชนไทยได้ ในทางจิตวิทยายังใช้การอ่านบำบัดจิตใจของผู้ป่วยได้อีกด้วย เช่น ในรายงานของจิตแพทย์ชื่อ เจอร์โรน ซเนค(Jerrone Schneck) จิตแพทย์อาวุโสประจำการของคลินิก เมนนิงเจอร์ (Menningger Clinic)ระบุว่า คนไข้รายหนึ่งเกิดความไม่สบายใจหลังจากที่ได้รับการผ่าตัด ขณะที่พักฟื้นผู้ป่วยได้อ่านหนังสือหลายเล่ม และจดบันทึกไว้ บันทึกตอนหนึ่ง มีความว่า เมื่อข้าพเจ้าคิดถึง ไฮน์ (Heine) ผู้ป่วยเป็นอัมพาตต้องนอนอยู่บนเตียงจนเตียงเปรียบเสมือนหลุมฝังศพ โวลแตร์(Voltaire) ผู้ได้รับโทษเนรเทศต้องระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ หรือ มิลตัน(Milton) กวีตาบอดแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ความทุกข์ของข้าพเจ้านั้นเบาลง (ไฮน์ โวลแตร์ มิลตัน คือ ตัวละครในหนังสือที่เขาอ่าน) (ฉวีลักษณ์ บุณญกาญจน,๒๕๒๔ หน้า ๑๓๑) วนิษา เรช (๒๕๕๐,หน้า๓๘-๓๙) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ชื่อ อัจฉริยะสร้างได้ ว่าอัจฉริยภาพของมนุษย์นั้นมีหลายด้านด้วยกัน หนึ่งในนั้นคืออัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร ซึ่งรวมถึงการอ่านด้วย เธอกล่าวว่า คนอ่านเก่ง อ่านเร็ว อ่านเป็น เป็นกลุ่มคนที่โชคดีมาก เพราะในยุคปัจจุบัน คนเราต้องมีข้อมูลข่าวสารผ่านสายตามากมาย หากอ่านไม่เป็น ไม่เร็ว ไม่ทันความจำเป็นที่จะต้องใช้ ก็จะมีผลเสียทั้งกับการเรียนและการงานอย่างมาก การอ่านเร็วและได้ใจความครบถ้วนเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน เช่นเดียวกับเรื่องที่เกี่ยวกับสมองทุกเรื่องก็มีหลักการเดียวกันคือ ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการอ่านมีประโยชน์ต่อชีวิตของเรามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคปัจจุบันที่อุดมไปด้วยข้อมูลต่างๆมากมาย จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องอาศัยข้อมูลเหล่านั้นในการตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาต่างๆ และการจะได้ข้อมูลนั้นมาใช้ประโยชน์ก็ต้องอาศัยการอ่านที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
พัฒนาอัจฉริยภาพด้านการอ่านด้วยเทคนิคการอ่าน
วนิษา เรช (๒๕๕๐,หน้า๓๙-๔๐) ได้นำเสนอเทคนิคการอ่านเพื่อพัฒนาอัจฉริยภาพด้านการอ่าน ไว้ในหนังสือชื่อ
อัจฉริยะสร้างได้ ดังต่อไปนี้
เทคนิคอ่านเร็ว อันดับแรกให้ลบทัศนะแบบเก่าๆของออกไปจากสมองเสียก่อน ทัศนะแบบเก่าที่ว่าคือ
-การอ่านเร็วเป็นเรื่องยาก
-เราไม่ควรใช้นิ้วลากตามข้อความที่เราอ่าน
-เราต้องอ่านทุกคำให้ครบ และเริ่มจากต้นจนจบ
-เราต้องอ่านให้ช้าเพื่อจะได้ใจความครบถ้วน
แล้วเปลี่ยนเป็นทัศนะใหม่ว่า
-การอ่านเร็วเป็นเรื่องง่าย ทำได้ด้วยการเริ่มฝึกทีละนิด
-เราใช้นิ้วลากตามข้อความ หรือใช้นิ้วชี้ตามข้อความได้
-ใช้วิธีมองภาพรวมของข้อมูลก่อน และไม่ต้องอ่านให้ครบทุกคำก็ได้
-อ่านเร็วก็ได้ข้อมูลที่จำเป็นเท่ากับการอ่านช้า
เมื่อปรับเปลี่ยนทัศนะแล้วก็เริ่มเตรียมตัวเตรียมใจเข้าสู่การอ่านเร็ว ด้วยเทคนิคต่อไปนี้
เทคนิคผลส้มเขียวหวาน
ก่อนลงมืออ่าน ให้หามุมสงบๆ อาจมีน้ำเย็น หรือชาร้อน นั่งในห้องทำงาน บนโซฟา หรือในสวน แล้วให้เอาหนังสือเล่มที่จะอ่านมาวางไว้บนตัก แต่อย่าเพิ่งเปิดอ่าน ให้เราหลับตา หายใจเข้าลึก ยาว สามครั้ง แล้วบอกตัวเองว่า การอ่านในห้วงเวลาหลังจากนี้ เราจะอ่านด้วยความสบายใจ อ่านอะไรก็จะจำได้ดี จากนั้น ก็ให้จินตนาการให้เห็นผลส้มเขียวหวานลอยอยู่ตรงหน้า ให้เห็นชัดเจน ดมได้กลิ่นส้ม เห็นได้ทุกรายละเอียดของผลส้ม แล้วหยิบมันขึ้นมาโยนไปมาระหว่างสองมือ จากนั้นจินตนาการให้ลูกส้มนี้ลอยไปแขวนอยู่ข้างหลังศีรษะสูงประมาณหนึ่งไม้บรรทัด
วนิษา อธิบายว่าเหตุที่ต้องใช้ส้มเขียวหวานเพราะส้มช่วยเปิดประสาทสัมผัสของเราได้ครบ โดยเฉพาะกลิ่นของส้ม จะทำให้เราใช้ประสาทสัมผัสได้ครบและอ่านได้ดีขึ้น
เทคนิคกระดาษเปล่า
ทุกครั้งที่เราจะเริ่มอ่านหนังสือ หากเป็นการอ่านที่ต้องมีจุดมุ่งหมาย เช่นการอ่านเร็ว อ่านเอาความ อ่านให้จำแม่น ให้เอากระดาษเปล่าวางไว้ข้างตัวเสมอและคอยจดข้อมูลลงด้วยปากกาสีสวยถูกใจ กระดาษเปล่าจะเป็นตัวบังคับไม่ให้เรานอนหลับเพราะต้องจดตลอดเวลา
เทคนิคการมองภาพรวมทั้งหมดก่อน
สมองชอบรู้ภาพรวมก่อนเข้าสู่รายละเอียด เพราะสมองถูกสร้างมาให้ประเมินสภาพแวดล้อมก่อนเพื่อหาความปลอดภัยของร่างกาย ดังนั้นหากต้องการอ่านเร็วและจำแม่นยำ อย่ารีบพุ่งเข้าสู่ข้อมูลรายละเอียด แต่ให้ประเมินสภาพแวดล้อมโดยรวมของสิ่งที่เราจะอ่านเสียก่อน เริ่มจากการพลิกหนังสือเร็วๆให้เห็นทีละหน้า หน้าละประมาณหนึ่งวินาที โดยไม่ต้องสนใจเนื้อหา ไม่ต้องอ่าน ทำอย่างนั้นจนหมดเล่ม แล้วค่อยย้อนกลับมาอ่านหัวข้อ เมื่ออ่านหัวข้อจนครบแล้ว ค่อยมาดูว่าต้องการอ่านรายละเอียดหัวข้อใด และที่สำคัญให้อ่านเอาองค์ความคิด อย่าอ่านเอาแต่คำพูด
บทสรุป
เทคนิควิธีการอ่านแม้จะดีเพียงใดก็ตามแต่ถ้าหากเราไม่นำไปฝึกฝน จนเกิดเป็นทักษะ และเป็นนิสัยแล้วการพัฒนาการอ่านของเราก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จะเป็นการดีอย่างยิ่งหากสามารถฝึกฝนและทำให้การอ่านของเราเร็วขึ้น
และดีขึ้นกว่าเดิม ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปในทางทางที่ดีขึ้น เราควรอ่านหนังสือทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๑๕ นาที จนเป็นนิสัย และเกิดเป็นความรู้สึกขึ้นมาในใจตนเองได้ว่าการอ่านหนังสือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ชื่อว่า “ฉันชอบอ่านหนังสือ”
หนังสือนี้มีมากมายหลายชนิด นำดวงจิตเริงรื่นชื่นสดใส
ให้ความรู้สำเริงบันเทิงใจ ฉันจึงใฝ่ใจสมานอ่านทุกวัน
มีวิชาหลายอย่างต่างจำพวก ล้วนสะดวกค้นได้ให้สุขสันต์
วิชาการสรรมาสารพัน ชั่วชีวันฉันอ่านได้ไม่เบื่อเลย
บรรณานุกรม ฉวีลักษณ์ บุญยะกาญจน. (๒๔๒๔). จิตวิทยาการอ่าน. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์. (๒๕๔๒). เทคนิคการอ่าน. กรุงเทพฯ: ศิลปาบรรณาคาร. วนิษา เรช. (๒๕๕๐). อัจฉริยะสร้างได้. กรุงเทพฯ: ไทยยูเนี่ยนกราฟฟิกส์. เทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี,สมเด็จพระ. (๒๕๔๑). ๒๔๘๙ ดั่งดวงแก้ว. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์. อนงค์ บุญเลิศ. (๒๕๓๘). การอ่านเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ: พัฒนาศึกษา.
ไม่มีความเห็น