วิธีการหรือนวัตกรรม หมายถึง กิจกรรม กระบวนการ เครื่องมือ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งที่มีรูปแบบใหม่ ๆ หรือของเก่าที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งผู้สอนยังไม่เคยนำมาให้ผู้เรียนใช้ประกอบการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความรู้ ทักษะ และเจตคติ ตามวัสถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนด
ตัวอย่างวิธีการหรือนวัตกรรมการเรียนรู้
1. บทเรียนสำเร็จรูป
บทเรียนสำเร็จรูปเป็นสื่อสำหรับนักเรียน เรียนรู้ด้วยตนเอง อาจใช้ให้ศึกษาเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม เสริมการเรียนในชั้นเรียน สนองเด็กเรียนเร็ว ใช้ซ่อมเสริมเด็กเรียนช้า หรือใช้เสริมเฉพาะผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่เด็กยังไม่เข้าใจหรือขาดความรู้
ความเข้าใจ
ลักษณะของบทเรียนสำเร็จรูป อาจจะมีการทบทวน / นิยามศัพท์ จุดประสงค์ ศึกษาสถานการณ์แต่ละสถานการณ์ให้เด็กได้ศึกษา ได้ตอบคำถามให้เกิดความคิดรวบยอด เข้าใจกฏเกณฑ์ หลักการ นำกฏเกณฑ์หลักการไปใช้แก้ปัญหา บทสรุป และแบบทดสอบท้ายบท
2. แบบฝึก
แบบฝึกเป็นสื่อใช้ฝึกทักษะการคิด วิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการปฏิบัติของ
นักเรียน นิยมใช้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การงานอาชีพ ฯ
ลักษณะของแบบฝึก อาจประกอบด้วยจุดประสงค์ ทบทวนกฎเกณฑ์ เสนอ
ตัวอย่างแบบฝึก และเฉลย /อธิบายเพิ่มเติม
3. แผนการเรียนรู้
ใช้เป็นคู่มือการจัดการเรียนการสอน ปกติจัดทำ 1 สาระ ตลอดภาคเรียน
หรือตลอดปี ศึกษาหลักสูตร แล้วกำหนดสาระสำคัญ กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน และการวัดผลและประเมินผล
ตัวอย่าง แผนการเรียนรู้คณิตศาสตร์ แบบร่วมมือกันเรียนรู้
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (การแก้ปัญหา โจทย์ปัญหาการคูณ)
ตัวอย่างการจัดกิจกรรม
1. ขั้นนำ
2. ขั้นสอน
3. ขั้นสรุป
4. ขั้นศึกษากลุ่มย่อย
5. ขั้นฝึกทักษะย่อย
6. สื่อการเรียนการสอน
7. การวัดผลและประเมินผล
(นวัตกรรมที่มีในแผนการเรียนรู้คือ วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ และแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหาโจทย์ปัญหาการคูณ)
จากตัวอย่างบทเรียนสำเร็จรูป แบบฝึก และแผนการเรียนรู้ที่กล่าวมา เป็นเพียงวิธีการหรือนวัตกรรมบางชนิดเท่านั้น ยังมีวิธีการหรือนวัตกรรมมากมายและหลายชนิดที่ ผู้สอนสามารถพิจารณานำมาใช้ประกอบการแก้ปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้ ให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี สื่อในปัจจุบันที่นิยมนำมาพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนมัธยม และโรงเรียนประถมศึกษาที่มีความพร้อมทางด้าน ICT เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สื่อ CAI , E – book , E – Learning และ การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ เป็นต้น
การหาประสิทธิภาพวิธีการหรือนวัตกรรม
วิธีการหรือนวัตกรรมที่ใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ เช่น ชุดการสอน แบบฝึก แผนการเรียนรู้ บทเรียนสำเร็จรูป หรือกิจกรรมใหม่ ๆ ที่ผู้สอนพัฒนาขึ้น การหาประสิทธิภาพวิธีการหรือนวัตกรรม ดำเนินการได้ ดังนี้
1) ตรวจสอบด้านเนื้อหา และรูปแบบของเครื่องมือโดยผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เช่น ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์และสร้างองค์ความรู้เองได้ ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ จึงสร้างแบบฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขึ้น ผู้สอนควรนำแบบฝึกทักษะ ให้ผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 คน ตรวจสอบ ถ้ามีความเห็นสอดคล้องกัน 2 หรือ 3 คน แสดงว่า เนื้อหา และรูปแบบมีความถูกต้องเที่ยงตรงและครอบคลุม
2) หาเกณฑ์ประสิทธิภาพของสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ โดยวิเคราะห์ คะแนนใช้สูตรคำนวณ ดังนี้
E1 = หรือ E1 =
E1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ
åX คือ ผลรวมของคะแนนนักเรียนที่ได้จากการวัดระหว่างเรียน
A คือ คะแนนเต็มของแบบวัด
N คือ จำนวนผู้เรียน
E2 = หรือ E2 =
E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ได้จากคะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนทั้งหมด
åY คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์หลังเรียน
B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน
N คือ จำนวนผู้เรียน
หลักเกณฑ์ที่ยอมรับว่าสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ คือ ด้านความ
รู้ความจำ E1 / E2 มีค่า 80 / 80 ขึ้นไป ด้านทักษะปฏิบัติ E1 / E2 มีค่า 70 / 70 ขึ้นไป
โดยมีค่า E1 / E2 ต้องไม่แตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 5
3) การหาค่าดัชนีประสิทธิผล ของสื่อหรือนวัตกรรมการเรียนรู้ โดยการวิเคราะห์
คะแนนใช้สูตรคำนวณ
ค่าดัชนีประสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
(จำนวนนักเรียน) (จำนวนคะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
สำหรับเกณฑ์ที่ยอมรับได้ว่า สื่อหรือนวัตกรรมมีประสิทธิผล ช่วยให้ผู้เรียน เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ได้จริง คือ มีค่าตั้งแต่ .50 ขึ้นไป
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, 2545.
ทิศนา แขมณี. ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547.
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีรยาสาส์น, 2543.
ไม่มีความเห็น