บล็อกนี้ค่อนข้างยาว เพราะไม่ได้มาเขียนนานค่ะ
ขออภัยหากความยาวทำให้ท่านผู้อ่านรู้สึกเมื่อยล้าสายตา :)
ชีวิตว่าที่ครูคนนี้ก็ยังสุขดีอยู่ แม้จะมีเรื่องราวหลากหลายให้เหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ
ไม่อยากบ่นมาก เดี๋ยวจะหาว่าแก่ เพราะหนูยังไม่แก่นะคะ (อิอิ)
ผ่านพ้นการประเมินการสอนครั้งที่ ๑ เรียบร้อย ผ่านไปได้ด้วยดี มีจุดที่ควรรักษา พัฒนา และควรแก้ไขปะปนกันไปค่ะ
การสอนที่อาจารย์นิเทศก์คณะมาประเมินนั้น ตรงกับการสอนเรื่องสำนวนไทยพอดิบพอดี การเตรียมการของเราเป็นไปตามปกติ เพราะไม่อยากให้ตนเองตื่นเต้นเกินไปจนประหม่าต่อหน้าครู แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากเตรียมอะไรให้อลังการเกินธรรมชาติ พูดง่ายๆคือFake นั่นเอง (หรือ "ผักชีโรยหน้า")เคยเตรียมสื่อเพื่อเด็กอย่างไรก็เตรียมไป ตามจริตของเด็กๆห้องนี้ที่ชอบอะไร "แนวๆ" "โดนๆ" ก็ "จัดให้"
คาบนั้นในขั้นนำก็เตรียมรูปภาพละครต่างๆ พวก"ขมิ้นกับปูน" "ดาวเปื้อนดิน" (อารมณ์ได้ดูใบปิดหนังนั่นแหละค่ะ) เดชะบุญที่โรงเรียนนี้มีห้องสื่อภาษาไทยโดยเฉพาะ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ เครื่องฉาย ฯลฯ ได้ ไหนๆก็ไหนๆ เราได้เรียนมา เด็กก็จะได้ตื่นตาตื่นใจ เลยพยายามให้เด็กได้มาเรียนห้องนี้ สัปดาห์ละ ๑ คาบ (จาก ๓ คาบ) คาบที่เหลืออิชั้นก็สอนในห้องเรียนธรรมดา สื่อทั่วไปที่ไม่ใช้อิเล็กทรอนิกส์ค่ะ
หลังจากนั้น เราค่อยเชื่อมโยงชีวิตให้เห็นว่าสำนวนมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันอย่างไร ตอนสอนก็มีกิจกรรมเกมสนุกๆให้เด็กทำท่าเป็นกลุ่ม จากหัวแถวไปหางแถว แล้วทายว่าเพื่อนทำท่าสำนวนอะไร(คล้ายเกมโชว์ในอดีต)
สรุปจบตบตีแต่ละกลุ่มด้วยการเฉลย พร้อมความหมาย ตบท้ายด้วยใบความรู้ แล้วก็ให้ใบงานกลับไป
อาจารย์นิเทศก์ท่านชอบที่สร้างสรรค์ดี แต่เกมที่ให้เด็กๆทำอาจจะทำให้สับสนกับการสอนเรื่อง "การสื่อสาร" ได้ (เพราะถ้านำไปใช้สอนเรื่องการสื่อสารน่าจะดีกว่า เกี่ยวกับการสื่อสารจากผู้ส่งถึงผู้รับ มีอุปสรรคอย่างไร ฯลฯ) ทำให้เด็กเรียนรู้สำนวนได้น้อยลง ใบความรู้ก็มีสำนวนน้อยไป
....รับทราบ และจะนำไปแก้ไขในการสอนต่อไปค่ะ อาจารย์.... : )
การสอนต่อๆมาก็ดำเนินต่อไป พบว่าตัวเองนั้นไม่ใช่ครูภาษาไทยตามขนบเท่าใด คือไม่สามารถยืนบรรยาย อธิบาย พรรณนาถึงเนื้อหาล้วนๆได้ตลอดชั่วโมง ต้องหาสื่อ หาเกม หรือสอดแทรกกรณีศึกษา(โดยเฉพาะตัวเอง) หรือความรู้รอบตัว เช่นโยงกับวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนา(เรื่อง เช้าฮาเย็นเฮ ที่ว่าด้วยโทษของสุรา) บางทีก็แนะแนวการศึกษาต่อ (ก็เอาตัวเองหรือเพื่อนๆที่เรียนสมัยมัธยมและมหาวิทยาลัยจากหลากหลายที่มาเป็นตัวอย่าง)
พฤติกรรมเด็กยังคล้ายหรือเกือบเท่าเดิม คือสนใจกันเพียงไม่กี่คน นอกนั้นจะคุยและเล่น ซึ่งช่วงนั้นอาจารย์วิชาอื่นๆก็มาแลกเปลี่ยนข้อมูล และบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "เด็กก็เป็นแบบนี้แหละน้อง"
เราเองใช้หลากมาตรการ หลายกลวิธี ทั้งปราม ดุ เตือน ฯลฯ (ด้วยหลักจิตวิทยาปนศาสนานิดๆ)
แม้กระทั่งการเตือนสติเด็กด้วยการนำรูปที่ตนเองไปออกค่ายอาสาฯ สอนเด็กในชนบท และตอนที่ฝึกสอนของเอกการศึกษาพิเศษให้นักเรียนดู แล้วถามว่า
แต่ก็มีเด็กไม่กี่คนที่เข้าใจ....เพราะพฤติกรรมเด็กตอนนั้นก็จะเปลี่ยนและปรับได้เพียงสั้นๆ แล้วกลับไปเหมือนเดิม เด็กที่ตั้งใจก็ตั้งใจ เด็กที่ไม่ตั้งใจก็ยังไม่ตั้งใจ
การประเมินก่อนกลางภาค ปรับวิธีเป็นการส่งใบงาน (ที่เราทำขึ้น) และชีท(ที่ครูพี่เลี้ยงหามาจากตำราต่างๆ) หรือตรวจสมุดจากงานที่ทำอยู่แล้วแทนการสอบ เพราะเข้าใจว่าเด็กๆไม่ชอบการสอบ ซึ่งพ้องกันกับความต้องการของเด็ก คะแนนจะได้ดีๆ และเป็นไปตามสภาพจริงของเด็ก
ช่วงนี้เองเริ่มมีผู้ปกครองโทรหาครูพี่เลี้ยงเพื่อทราบคะแนนก่อนกลางภาค ส่วนใหญ่แจ็กพอต เป็นเด็กที่ไม่สนใจเรียน เราก็อึดอัดที่จะบอกว่าลูกของคุณไม่สนใจเรียนในห้องเลย แต่ความเชื่อมั่นของผู้ปกครองสวนทางกัน เพราะเข้าใจว่าลูกเป็นเด็กดี...ครูนั่นแหละสอนไม่ดี ห้องอื่นเค้าทำชีท ทำโจทย์ข้อสอบไปหลายชุดแล้ว
....เราเริ่มหวั่นใจว่า ที่ผ่านมา เราสอนไม่ดีใช่ไหม เราไม่ได้สอนข้อสอบให้เด็กแล้วจะทำให้เด็กพลาดอะไรไปหรือเปล่า.....
อิชั้นมิใช่ผู้ออกข้อสอบ ไม่มีอำนาจและสิทธิในการออก ด้วยวัยวุฒิ และคุณวุฒิ รวมถึงประสบการณ์การสอน
จนกระทั่งสอบกลางภาค วันที่ ๑๐ และ ๑๕ ก.ค. ที่เพิ่งผ่านไป
ผลคะแนนของเด็กๆจากเต็ม ๕ ส่วนใหญ่ได้ ๓ ๒ ๑ มีได้ ๔ เพียงคนเดียว
ปรากฏว่าผู้ปกครองบางคนไม่พอใจคะแนนลูก แล้วมีปัญหาเกิดขึ้น
จนกระทั่งครูพี่เลี้ยงคุยกับหัวหน้ากลุ่มสาระ และจะปรับคาบสอนให้เรา โดยลดเหลือเพียง ๒ จาก ๓ คาบในแต่ละห้อง (๒ ห้อง) สรุปคือลดเหลือ ๔ จาก ๖ นั่นเอง อีก ๒ คาบ ครูพี่เลี้ยงจะสอนให้เอง โดยสอนแบบเข้มข้น ให้ทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดไป
เราก็น่าจะดีใจ...ที่ได้เหนื่อยน้อยลง ๒ คาบ
แต่ความรู้สึกของเรากลับไม่เป็นเช่นนั้น....
วูบแรกคือ "เสียความรู้สึก" แม้ครูพี่เลี้ยงจะช่วยบอกหรืออธิบายอย่างไรกับผู้ปกครอง(ตามที่ครูบอกกับเรา)ไปก่อนแล้วว่าเราสอนดี(ซึ่งเราก็ไม่ต้องการให้มาชมอะไร) บางทีดีกว่าครูประจำเสียอีก(อันนี้ดิฉันก็ไม่ต้องการให้เปรียบนัก
...แต่การที่เราไม่เน้นสอน "ข้อสอบ" เหมือนครูอื่นๆ คงทำให้ผู้ปกครองรู้สึกว่าลูกของตนเอง "เสียเปรียบ" โดยเฉพาะ ม.ประโยคที่ต้องไปสอบแข่งขัน
...การที่เราเน้นสอนแต่ "การเชื่อมโยงเนื้อหาไปใช้ในชีวิต" กับ "สอนการใช้ชีวิต" ไปพร้อมกับเนื้อหาภาษาไทย ซึ่งผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูก "สอบเข้าเตรียมฯ" หรือ "ต่อม.๔" อาจไม่ปลื้มกับวิธีการสอนของเรา
..เพราะ ๒ ห้องที่เราสอนนั้น เด็กหลายคนยังมีข้อจำกัดมากมาย ส่วนใหญ่ยังมีพฤติกรรมเหมือนเด็ก และยิ่งกว่าเด็กด้วยซ้ำ ยังติดการ "ป้อนข้อมูล" การ"ด่าว่าแรงๆ" ซึ่งเราไม่ชอบ จึงไม่ทำเช่นนั้นกับเด็ก (ตามพื้นฐานครอบครัวชนชั้นและฐานะปานกลางถึงฐานะดีมาก การเลี้ยงดู การเผชิญปัญหาของเด็กก็ต่างไป)
"ลูกดิฉันต้องได้เกรด ๔ เพื่อสอบเข้าเตรียมฯให้ได้"
"ลูกดิฉันต้องได้เกิน ๓.๕๐ เพื่อต่อม.๔ ที่นี่ได้"
"ลุกผมต้องไม่ตก เพราะลูกผมตกมา ๗ ตัวแล้ว"
ฯลฯ
ดิฉันยอมรับว่าตัวเองคงไม่ใช่ครูที่เพียบพร้อม เก่งกาจแต่อย่างใด เพราะยังรู้สึกว่าตัวเองรู้น้อยอยู่ และก็ยังให้อะไรเด็กได้น้อยกว่าที่คาดและที่ควรเป็น
พิมพ์มาถึงตอนนี้ ดิฉันก็ไม่โทษผู้ปกครอง ม.๓ จำนวน ๒ ห้องที่ดิฉันรับผิดชอบการสอนแต่อย่างใด เพราะดิฉันยังศรัทธา และความสำคัญของผู้ปกครองต่อการเรียนของบุตรหลาน(ยิ่งถ้าเป็นครูการศึกษาพิเศษ...ผู้ปกครองก็มีบทบาทไม่แพ้ครูเลยทีเดียว) และดิฉันยังเข้าใจเข้าใจว่า
- สภาพการแข่งกันในปัจจุบันมีสูงเพียงใด ความคาดหวังที่มีต่อลูกมีมากเพียงใด จึงทำให้ความคาดหวังต่อครูมีมากตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงเรียนที่ดิฉันฝึกประสบการณ์วิชาชีพอยู่นี้ เป็นโรงเรียนชื่อดัง สถิติการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของที่นี่ก็ได้ ๑๐๐% ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ๘๐.๓๔(...โรงเรียนที่ดิฉันฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู)
- โรงเรียนนี้ไม่ใช่โรงเรียนที่มีครู ๓- ๔ คน หรือบางโรงเรียนครูใหญ่ต้องลงมาสอนเอง แต่ละชั้นเรียนก็สอน ๒ ระดับ อาคารเรียนก็ได้มาเพราะมีนิสิต นักศึกษาออกค่าย เด็กๆก็มาเรียนด้วยชุดเก่า ชุดบริจาค ผู้ปกครองไม่ทราบเพราะต้องไปรับจ้างที่เมืองหลวง (.....โรงเรียนที่ดิฉันออกค่ายอาสาฯ)
สุดท้ายแล้ว ดิฉันยังยืนยัน และศรัทธาใน "ความเป็นครู"
เพราะครู โดยเฉพาะครูที่ดิฉันเรียกท่านว่า "แม่"
เป็นแบบอย่างของผู้มีจิตวิญญาณครู
เสียสละความสุข เพื่อสอนให้ลูกศิษย์ทั้งหลายเข้าใจชีวิต
และใช้ชีวิตได้ด้วยคุณธรรม
ด้วย "สติ" และ "ปัญญา"
ดิฉันยังศรัทธา...ว่า.....
แม้ว่าจะออกดอกช้าสักเพียงใดก็ตาม
ไม่มีความเห็น